FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #15 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 07:31:40 PM » |
|
ก่อนออกจากวัด น้ายอดแกอดไม่ได้ที่จะไปเอาไม้ไปเคาะฆ้องของทางวัด เพราะเห็นว่ามันใหญ่โตมาก เคาะแล้วเสียงคงดังไปถึงเมืองสวรรค์แน่ๆ
แกตั้งท่าทะมัดทะแมงไปงั้นเองแหละครับ ที่จริงแกเคาะไม่โดนหรอกครับ
ภาพพ่อใหญ่ยอด ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-70-200 mm F2.8 L IS II ถ่ายที่ 70mm โหมด AV F 5.6 1/100s ISO 3200 รูปแบบภาพ ภาพวิว โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ -0.67 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #16 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:05:55 PM » |
|
จากนั้นไกด์ป๊อกกี้ก็ได้นำพวกเราไปชมสัญลักษณ์ของประเทศลาว นั่นก็คือ ประตูชัย
ประตูชัยมีประวัติความเป็นมาดังนี้....
26 ก.พ. ค.ศ.1957(พ.ศ. 2500) มีดำรัสจากนายกรัฐมนตรีให้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อจัดการประกวด แข่งขันการออกแบบประตูชัย ซึ่ง ท้าวทำไชยะสิดเสนา ผู้บัญชาการกรมยุทธสรรพาวุธ ได้รับชนะเลิศ รูปลักษณะและความหมายของประตูชัย อนุสาวรีย์ มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีประตูสี่ด้าน ซึ่งต่างจากที่ฝรั่งเศสมีเพียงสองด้าน หลังคาเป็น ยอดช่อฟ้า 5 ยอด ด้านในใจกลางของประตูชัยมีป่องสำหรับจุดเปลวไฟเป็นอนุสรณ์สมมติ ของดวงวิญญาณวีระชนนิรนาม ทั้งหมดแบ่งเป็น 3 ชั้น ๆ ที่ 3 เป็นหลังคามียอดช่อฟ้า 5 ช่อ ตรงยอดช่อฟ้า ใหญ่มีหอคอยติดตั้งกล้อง ส่องทางไกล ให้ชมทิวทัศน์รอบด้าน ของเวียงจันทน์ รูปทรง ได้นำเอาสูตรตำราเลข 3 ตัว คือ 3-7-8 เลข 3 หมายถึง แก้วสามประการ ซึ่งหมายถึงอำนาจพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เลข 7 หมายถึง จำนวนวันในหนึ่งสัปดาห์ เลข 8 หมายถึง ทิศทั้ง 8 ซึ่งทั้งหมดมีความหมายดังนี้ -ความกว้างแต่และด้าน 24 เมตร(3x8= 24) เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส -ความสูง 49 เมตร(7x7 = 49) จะเห็นได้ว่าอนุสาวรีย์นี้มีรูป 4 เหลี่ยมมณฑลอันเป็นเอกลักษณ์พื้นฐานของสถาปัตยกรรมของลาวแท้ เช่น พระธาตุหลวง พระธาตุพนมพระธาตุอิงฮัง พระธาตุสีโคตรบูรณ์พระธาตุพูสีพระธาตุสีสองรัก พระธาตุบังพวน ล้วนแต่มีรูปสี่เหลี่ยมแบบลาวแท้ การประดับประดาลวดลาย ได้นำเอาลวดลายที่เป็นศิลปะลาวที่มีอยู่ตามอนุสรณ์สถานต่าง ๆ เช่น ดอกบัวใหญ่ที่ประดับล้อมประตูชัย ได้นำแบบมาจากพระธาตุหลวง ความหมายและประโยชน์ที่ใช้ 1. จุดประสงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อ เป็นที่ระลึกเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา และเชิดชูบูชาดวงวิญญาณวีรบุรุษ วีรชนของชาติทุกยุคทุกสมัย ไว้เป็นแบบอย่างอันสูงส่ง แต่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งจับไม่ได้ มองไม่เห็นจึงได้สมมติเอาเปลวไฟที่ใสส่องขาวสะอาด คือตัวแทนของดวงวิญญาณให้เห็นประจักษ์ตา เป็นรูปธรรม เวลาประกอบ พิธีเคารพ บูชาตอบแทนบุญคุณ ให้เหมือนกับว่าดวงวิญญาณปรากฎอยู่ต่อหน้า 2. ประตูชัยมี 4 ด้าน ด้านหนึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก และตะวันออก ทะลุสู่ถนนล้านช้าง ใช้สำหรับพิธีสวนสนามเดินผ่านประตูชัยอย่างองอาจมีไชย ในวันสำคัญของชาติ 3. ด้านนอกแต่ละมุมจะมีสระน้ำสร้างเป็นรูปดอกบัวตูมมีขอบสูง ปลายดอกบัวแหลมชี้ออกนอก ติดอยู่กับมุม แต่ละมุมมีรูปพญานาคชูหัวองอาจ ห้าวหัน งดงาม ยกหงอนชี้ฟ้า อ้าปาก ตัวพญานาคเป็นตัว พระราชาแห่งนาค เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศลาว ดอกบัวตูมที่อยู่กลางสระน้ำนั้นหมายถึง ดอกไม้เลิศพันธ์ มีไว้เพื่อบูชาแด่ดวงวิญญาณวีรชน ผู้เลิศเลอมีบุญคุณเอนกอนันต์ต่อชาติลาว 4. แต่ละ 4 มุมของฝาด้านนอก มีดอกไม้ประดับไว้สำหรับติดดอกไฟฟ้า ในวันพิธีบุญเฉลิมฉลองสำคัญต่าง ๆ 5. มีบันไดขึ้น 2 ทาง 147 ขั้น ท่านสามารถเดิมชมศิลปะของแต่ชั้นได้ ปัจจุบันใช้เป็นที่จำหน่าย สินค้าของที่ระลึก 6. ยอดช่อฟ้า เป็นชั้นสูงสุดมี 5 ยอด เปรียบเสมือนปราสาทราชวัง ยอดช่อฟ้าทั้งห้ายอดนี้ หมายถึง “ปัญจศิลา” หัวใจหลักการนำชี้วิถีชีวิตให้แก่นักการเมืองในการปกครองประเทศ 5 ประการตามหลักพุทธรรมสายกลาง เปี่ยมด้วยมิตรไมตรี เกียรติศักดิ์ศรีเจริญรุ่งเรืองถาวร อนุสาวรีย์แห่งนี้ใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 63 ล้านกีบ สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1969 ดังนั้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) เป็นต้นมา การเดินขบวนสวนสนามก็ได้เดินลอดใต้ประตูชัยแห่งนี้ไปสู่สนามลานพระธาตุหลวง ดังที่หนังสือแจ้งการของกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ได้บันทึกไว้ว่า “ ขบวนมวลชนเพื่อยึดอำนาจอยู่เวียงจันทน์ใน วันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) ขบวนชาว นครหลวงเวียงจันทน์และ ตัวแทนประชาชนเขต แขวงต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อฉลองชัยชนะแห่งการสถาปนา สปป.ลาว ก็ล้วนแต่ได้เดินผ่านประตูนี้ไป จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ.1976(พ.ศ.2519) การสวนสนามได้ย้ายไปที่ ลานพระธาตุหลวง ต่อหน้าอนุสาวรีย์นักรบนิรนาม ที่พรรค และรัฐบาลได้สร้างขึ้น ประตูชัยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง ที่ทำรายได้เข้าประเทศ นักท่องเที่ยวก่อนที่จะเดินทางไป ถึงพระธาตุหลวง และอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จะต้องแวะชมสถานที่แห่งนี้ก่อน ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนลาวทั่วประเทศ
ประตูชัยแห่งนี้สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เรียกได้ว่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ยาวนานมากๆเลย ก็อย่างที่บอกว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ประตูชัยนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “รันเวย์แนวตั้ง” นั่นก็เพราะว่า การก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้นั้นใช้ปูนที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีนนั่นเอง แต่ก็ไม่ทันได้สร้างเลยก็เกิดแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงมีการนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทนลาว เวียงจันทน์ความสวยงามของประตูชัยนั้นมีอยู่ที่ลักษณะสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นั่นเอง ถ้าเพื่อนเปรียบเทียบกันดูจะเห็นว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันมาก แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมนั้นก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ภาพเรื่องราวมหากาพย์รามายณะ แบบปูนปั้นใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัย บันไดวนให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ และถ้าเพื่อนๆเดินขึ้นไป ตลอดบันไดวนของประตูชัยจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ซึ่งแต่ละชั้นนั้นก็จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึก เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวัน และในตอนเย็นจะมีประชาชนชาวลาว มาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ด้วยเวียงจันทน์เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเป็นมายาวนานและนักเดินทางอย่างเราไม่ควรพลาด สำหรับการเข้าชมสถานที่แห่งนี้นั้นต้องเสียค่าทำเนียมด้วยค่าเข้าชม ผ่านประตูคนละ 2,000กีบ เวลาเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.
ประตูชัย (Patuxay) มีลายปูนปั้นด้านบน ด้านหน้า ด้านข้าง แล้วศิลปะแบบลาว มีบันไดทางขึ้นสองข้าง โดยที่ด้านบนทำเป็นอาคารห้ายอด ตามหลักการปกครองประเทศตามพุทธศาสนา (ได้แก่ พันธมิตร, การผ่อนปรนยืดหยุ่น, ความซื่อสัตย์, การให้เกียรติ และความรุ่งเรือง)โดยอยู่ท่ามกลางสวนสาธารณะ และถนนสายหลักที่มีลักษณะเป็นวงเวียนและถนนสายใหญ่ (คล้ายๆกับ ราชดำเนินบ้านเรา) ด้านหน้าของ ประตูชัย (Patuxay) มีน้ำพุที่สวยงาม และเป็นสวนสาธารณะให้นั่งพักผ่อนโดยที่ทางรัฐบาล ลาว ยอมรับเองว่า ประตูชัย ที่เห็นนี้ ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ (ตามการออกแบบครั้งแรก) และดูเหมือนไม่มีทีท่าจะเสร็จในเวลาอันสั้น โดยที่ป้ายหน้า ประตูชัย บอกเองว่า สิ่งก่อสร้างนี้ดูไกลๆจะสวยงาม แต่ถ้าดูใกล้ๆจะรู้สึกเหมือนเป็นกองปูนไม่ค่อยสวยเพราะยังสร้างไม่เสร็จ
ภาพประตูชัย ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-70-200 mm F2.8 L IS II ถ่ายที่ 125mm โหมด AV F 11 1/125s ISO 100 รูปแบบภาพ ภาพวิว โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ 0.00 EV เพิ่มท้องฟ้า
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #17 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:18:48 PM » |
|
วันนั้น
ขณะที่ผมกำลังตั้งกล้องบนขาตั้งและเล็งจะถ่ายภาพอยู่นั้น ก็พอดีมีน้องสองคนเกี่ยวก้อยกันเดินมาบังเฟรมกล้องผมเข้า โดยที่ทั้งสองคนคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเค้ามาบังกล้องผม ฝ่ายชายยกกกล้องเล็งและถ่ายภาพให้ฝ่ายหญิง เสร็จแล้วตากล้องก็โยนกล้องให้ฝ่ายหญิง แต่ตนเองเดินหลบไปซะนี่ น้องคนนี้เธอรับกล้องมาแล้วยกขึ้นส่องถ่ายภาพตรงหน้าโดยไม่ได้หันกลับมามองด้านหลังเลย ผมกำลังรีบเพราะจะหมดเวลานัดหมายที่ไกด์ให้ไว้แล้ว แต่เธอก็ไม่หันมาซะที ผมจึงอยากจะตะโกนบอกเธอจังเลยว่า.....
"น้อง.... กระเป๋าน่ารักจังเล๊ย......"
จริงๆนะครับ
ภาพประตูชัย ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-70-200 mm F2.8 L IS II ถ่ายที่ 130mm โหมด AV F 11 1/40s ISO 100 รูปแบบภาพ ภาพวิว โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ +0.67 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 08:30:15 PM » |
|
จากประตูชัย ไกด์พาไปที่พระธาตุหลวง
พระธาตุหลวงนี่ผมมานับสิบครั้งแล้ว แถมมาวันนี้ ท้องฟ้าก็ไม่อำนวย ตัวองค์พระธาตุมีสีหมองๆไปเยอะ ผมเลยไม่ค่อยสนใจ เลยเดินเลี่ยงๆไปถ่ายที่ลานจอดรถข้างๆพระธาตุแทน ไม่มีอะไรเล่น ก็ถ่าย IR เล่นมันซะเลย
ภาพ IR ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-24-105 mm F4 L ถ่ายที่ 24mm + ฟิลเตอร์ IR โหมด B F 13 240s ISO 100 รูปแบบภาพ ภาพขาว-ดำ โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ 0.00 EV
ตามตำนานอุรังคนิทานได้กล่าวไว้ว่า พระธาตุหลวงสร้างขึ้นคราวเดียวกับการสร้างเมืองนครเวียงจันทน์ หลังจากก่อสร้างพระธาตุพนมแล้ว ผู้สร้างคือ บุรีจันอ้วยล้วย หรือ พระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ เจ้าเหนือหัวผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก พร้อมกับพระอรหันต์ 5 องค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหัวเหน่า 27 พระองค์ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย โดยก่อเป็นอุโมงค์หินคร่อมไว้ อุโมงค์นั้นกว้างด้านละ 5 วา ผนังหนา 2 วา และสูงได้ 4 วา 3 ศอก เมื่อได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว พระเจ้าจันทบุรี จึงได้มีพระราชดำรัสให้เสนาอำมาตย์สร้างวิหารขึ้นในเมืองจันทบุรีหรือนครเวียงจันทน์ 5 หลัง เพื่อให้เป็นที่อยู่จำพรรษาของ พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์นั้นด้วย ตามตำนานดังกล่าวระบุศักราชการสร้างว่าอยู่ในช่วง พ.ศ. 238
ในระยะต่อมาแม้ว่าชื่อของเวียงจันทน์จะไม่ได้ปรากฏในหนังสือประวัติศาสตร์ใดเลย แต่อย่างไรก็ดี นครเวียงจันทน์ก็ยังคงเป็นเมืองสำคัญอยู่ตลอดมา ดังปรากฏการอ้างถึงชื่อเมืองเวียงจันทน์ในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง และในพงศาวดาวลาวฉบับต่างๆ ก็ระบุด้วยว่านับตั้งแต่พระเจ้าฟ้างุ้มเสวยราชสมบัติที่เมืองหลวงพระบางแล้ว ก็ได้มีการส่งเชื้อพระวงศ์และขุนนางสำคัญมาปกครองเมืองนี้โดยตลอด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2109 หลังจาก พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช วีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านช้าง ได้ทรงย้ายราชธานีเมืองเชียงทองหลวงพระบาง ลงมายังนครเวียงจันทน์ได้ 6 ปีแล้ว พระองค์จึงได้มีพระบรมราชโองการให้สร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่ ในเขตพระราชอุทยานทางด้านทิศตะวันออกของกรุงเวียงจันทน์ โดยสร้างครอบพระธาตุองค์เก่าที่มีมาแต่โบราณกาล เมื่อสร้างพระธาตุหลวงเสร็จแล้ว จึงทรงขนานนามพระธาตุนี้ว่า "พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี” หรือ “พระธาตุใหญ่” (แต่คนส่วนมากมักเรียกว่า “พระธาตุหลวง”) และมีพระราชโองการให้อุทิศข้าพระธาตุจำนวน 35 ครอบครัว อยู่เฝ้ารักษาพระธาตุนี้ พร้อมทั้งที่ดินสำหรับให้ครอบครัวของข้าพระธาตุทำกิน
องค์พระธาตุมีความสูง 45 เมตร รูปลักษณะคล้ายดอกบัวตูม อันหมายถึงสัญลักษณ์คำสอนของพระพุทธเจ้า มีพระธาตุเล็กอยู่บนพระธาตุใหญ่ชั้นที่สอง รองทั้งสี่ด้าน มี 30 องค์เรียกวา “สัมมติงสบารมี” อยู่ในธาตุองค์เล็กทั้ง 30 องค์นี้ ผู้สร้างได้นำเอาทองคำมาหล่อเป็นรูปพระธาตุเล็ก ๆ 30 องค์ แต่ละองค์หนัก 4 บาท และเอาทองคำมาตีเป็นแผ่น รุปลักษณะเหมือนใบลาน เรียกว่า “ลานคำ” 30 แผ่น แต่ละแผ่นยาวศอกกำมือ (คือวัดศอก โดยกำมือไว้ ไม่วัดจากปลายมือ กำมือแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมา วัดที่สุยปลายนิ้วก้อยเท่านั้น) แล้วเขียนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงในใบลานคำทุกใบว่า “เย ธัมมา เหตุปปัพพะวา เตสัง เหตุง ตะถาคโต เตสัญจะ โย นิโรโธ จะ เอวัง วาที มะหาสะมะโณ” แปลว่า “ธรรมทั้งหลายเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และเพราะเหตุเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสเช่นนี้” แล้วเอาทองคำและใบลานลงไว้ในพื้นธาตุเล็ก ทั้ง 30 องค์ การที่ได้สร้างพระธาตุขนาดเล็กนี้ขึ้นมา มีความหมายว่า “ผู้ที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะต้องได้สร้างคุณงามความดีไว้ให้ถึง 30 ประการ มีทานบารมี เป็นต้น จนถึงอุเบกขา ปรมัตถบารมีเป็นปริโยสาน
รูปชั้นล่างสุดเป็นฐานพระธาตุ 4 เหลี่ยม ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยาวด้านละ 69 เมตร ส่วนทางทิศเหนือและทางทิศใต้ยาวด้านและ 68 เมตร ด้านล่างมีใบเสมารอบ 4 ด้าน มีทั้งหมด 323 ใบ มีหอไหว้ทั้ง 4 ด้าน มีบันไดขึ้นหอไหว้ทุกหอ
ที่หอไหว้ทิศตะวันออก ชั้นบนขึ้นไป มีธาตุเล็กองค์หนึ่งที่มีลวดลายสวยงาม และได้สร้างหอครอบไว้อีกชั้นหนอ หอที่สร้างครอบมีลวดลายวิจิตรสวยงามเช่นเดียวกัน ธาตุเล็กนี้เรียกว่า "พระธาตุศรีธรรมทายโลก" ด้านที่สอง ถัดจากหอไหว้ขึ้นไป แต่ละด้านยาว 48 เมตร มีกลีบดอกบัวล้อมรอบ ทั้งหมดมีจำนวน 120 กลีบ ภายในกลีบดอกบัวทำด้วยกระดูกงู (เส้นลวดเป็นขอบล้อมทั้ง 4 ด้าน) แล้วตั้งใบเสมาบนกระดูกงูนั้น ใบเสมาในชั้นนี้ จำนวน 228 ใบ ตรงกลางใบเสมาทุกใบเป็นโพรง (ไม่ทะลุ) สำหรับใส่พระพิมพ์ใบละองค์ บนชั้นนี้มีประตูโขงตรงกับทางขึ้นหอไหว้ทั้ง 4 ด้านพอเข้าไปที่ประตูโขงนั้นก็จะพบพระธาตุบารมีที่กล่าวแล้ว และธาตุบารมีก็มีชื่อเรียกทุกองค์ คือเริ่มแต่ทานบารมี ทานอุปบารมีในจนครบ ทั้ง 30 องค์
ชั้นที่สามสร้างขึ้นถัดจากพระธาตุองค์เล็ก 30 องค์นั้น ขึ้นไปบนชั้นนี้จะเห็นว่า มีความกว้าง ด้านละ 30 เมตร พื้นด้านที่สามนี้ มีรูปลักษณะเป็นหลังเต่า หรือโอคว่ำ (ขันตักน้ำคว่ำ) อยู่บนชั้นหลังเต่า เป็นฐานของยอดพระธาตุ มีรูปเป็นสี่เหลียมล้อมรอบด้วยกลีบดอกบัวใหญ่ ซึ่งมีปลายกลีบเริ่มบานออก ถัดจากดอกบัวไปจึงมีรูปรัดเอว เหนือจากที่รัดเอวไปจะเป็นฐานจอมธาตุ ฐานนี้จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหวอ (บาน) ขึ้นด้านบนนิดหน่อย ต่อจากฐานนี้ คนโบราณเรียกว่า “ดวงปี” ดังมีอยู่ในคำกลอนว่า “เจดีย์ดิ้ว ดวงปีพ้นพุ่ง” อยู่บนดวงปี จึงเป็นสเวตฉัตรเป็นยอดพระธาตุที่สูงสุด” อยู่รอบฐานพระธาตุ ก็ได้สร้างบริเวณล้อมรอบติดกันทั้ง 4 ด้าน มีประตูเข้าทั้ง 4 ด้าน ประตูอยู่ระหว่างกลาง บริเวณแต่ละด้านพอดี บริเวณยาวด้านละ 91 เมตร 75 เซนติเมตร
นอกบริเวณทางทิศเหนือ และทางทิศใต้ มีวัดสำหรับพระภิกษุสามเณรอยู่อาศัย เรียกว่า “วัดธาตุหลวงเหนือและวัดธาตุหลวงใต้”
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
e21rts
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2015, 09:23:17 PM » |
|
โห...นี่ยาวกว่ามหากาพย์ของผมอีกครับ....แต่งงงง..ไม่แน่ใจว่าจะไปทางโลกุตระหรือโลกียะกันแน่..ฮ่าๆๆ
|
++คติเตือนตน++คำว่า"คนดี"..คือคำที่มีไว้เรียกคนโง่ให้ฟังสวยหรูดูดีมีเกียรติ...เพื่อหลอกให้มันหลงภาคภูมิใจ...และตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องโง่ๆของมันต่อไป..
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #20 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2015, 06:50:34 AM » |
|
โห...นี่ยาวกว่ามหากาพย์ของผมอีกครับ....แต่งงงง..ไม่แน่ใจว่าจะไปทางโลกุตระหรือโลกียะกันแน่..ฮ่าๆๆ
หมายควาย...เอ้ย.... หมายความว่ายังไงอ่ะ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
chit_50
บุคคลทั่วไป
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/smiley.gif) |
« ตอบ #21 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 05:09:38 AM » |
|
...อ่านคำบรรยายประกอบภาพเพลินไปเลยครับ แต่มาสะดุดตรงภาพนี้ FRW_0005 พระหัวทิ่มอะครับ...
|
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #22 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 09:12:09 AM » |
|
...อ่านคำบรรยายประกอบภาพเพลินไปเลยครับ แต่มาสะดุดตรงภาพนี้ FRW_0005 พระหัวทิ่มอะครับ...
น้าน........ ผมลงแล้วก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม พระหัวทิ่มลง แต่..... ก็อยากลองดูว่าจะมีใครสังเกตุเห็นบ้างครับ น้าชิต ยอด...มาก 555 เดี๋ยวแก้ให้ครับ อิๆๆ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #23 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 02:11:17 PM » |
|
หลังจากชมพระธาตุหลวงแล้ว เพิ่งจะ 11 โมงกว่า ไกด์ก็พาไปทานข้าวเที่ยง พวกเราทุกคนร้องว่านี่มันยังไม่ทันจะเที่ยง ไกด์บอกว่า หลังอาหาร พวกเราจะต้องนั่งรถกันยาวเลยและต้องใช้เวลาเดินทางถึงวังเวียงราว 5 ชั่วโมง
ระยะทางจากเวียงจันถึงวังเวียงราว 160 ก.ม. ระหว่างทาง เวียงจัน-วังเวียง ไม่มีร้านอาหารที่ดีพอสำหรับพวกเราด้วย และตามโปรแกรมแล้ว เราจะต้องไปถึงถ้ำจังตอนบ่าย 4 โมง ฉะนั้นต้องรีบกินรีบไป โอ้เอ้ไม่ได้
โห.... 160 กิโล เราต้องเดินทาง 5 ชั่วโมง เฉลี่ย... 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง นี่มันคลานเป็นเต่าเลยอ่ะ แต่พอไปเจอเส้นทางมรดกโลกของจริงเข้า รู้เลย ว่าวิ่งได้เร็วแค่นี้ก็เก่งแล้วครับ
อยู่บนรถช่วงว่างๆ เราลองมาเรียนภาษาลาวบางคำดูครับ
คำไทย คำลาว สวัสดี = สบายดี๋ ไฟเขียว = ไฟปลดปล่อย ไฟแดง = ไฟอำนาจ ไฟเหลือง = ไฟลังเล ไฟเหลืองกระพริบ = ไฟเสรี น้ำแข็ง = น้ำมีอารมณ์ ผ้าเย็น = ผ้าอนามัย ผ้าอนามัย = ผ้ายันกันโลหิต ขนมปังฝรั่งเศษ (แบบมีไส้) = ข้าวจี่ปาร์ตี้ ไข่ดาว = ไข่เอื้อมบ่ถึง ห้องตรวจโรค = ห้องสอดแนม ห้องตรวจภายใน = ห้องจกเบิ่ง ห้องคลอด = ห้องประสูติ หมวกกันน๊อค = หมวกกันกระแทก แต่งงาน = เอากัน
ป้ายทะเบียนรถในประเทศลาว มี 4 สี
1. ป้ายทะเบียนสีเหลือง คือ ป้ายทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 2. ป้ายทะเบียนสีขาว คือ ป้ายรถรับจ้าง 3. ป้ายทะเบียนสีน้ำเงิน คือ ป้ายรถรัฐบาล 4. ป้ายทะเบียนสีแดง คือ ป้ายรถยนต์ของผู้ที่มีตำแหน่งทางทหาร
ถนนที่สุดแสนจะขรุขระ มีทั้งหลุมบ่อใหญ่-น้อย เต็มพื้นถนน รถจึงต้องวิ่งแบบกระโดดโลดเต้น กระเด้งดึ๋งๆตลอดเส้นทาง บางช่วงน้ากบสารถีต้องกระตุกเบรกอย่างกระทันหันบ้าง จึงทำเอาแทบนั่งกันก้นไม่ติดเบาะไปทั้งคันรถ
กว่าที่พวกเราจะเข้าไปถึงถ้ำจังก็เกือบ 5 โมงเย็นไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ที่คอยเก็บตังบอกว่าปิดทำการไปแล้ว ให้พวกเรามาใหม่พรุ่งนี้
ผมเองก็คิดว่า รายการของวันนี้มี 2 รายการ คือ เที่ยวถ้ำจัง และล่องเรือแม่น้ำซอง
ในเมื่อที่นี่ปิดแล้ว เราก็น่าจะรีบๆไปล่องเรือก่อนจะมืดค่ำดีกว่า แต่หลายคนบอกว่าขอเดินถ่ายภาพบริเวณก่อน เจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้ผ่านสะพานเข้าไปได้ น้ายอด น้าชิต น้าสมชาย จึงจ้ำอ้าวนำหน้าไปก่อน
แต่ครั้นพอหลายคนเดินผ่านสะพานเข้าไป ผมสังเกตุเห็นนักท่องเที่ยวที่มากับรถนำเที่ยวอีกคัน ต่างก็พากันเดินจ้ำอ้าวไปทางบันไดขึ้นถ้ำ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เค้าจะรีบไปไหนกัน ในเมื่อถ้ำปิดแล้ว
พอถามเอาความจากคนที่เดินตามหลังมาถึงได้ความว่า เจ้าหน้าที่เห็นว่า ยังมีนักท่องเที่ยวอีกหลายคน จึงเปิดให้เข้าอีก เป็นกรณีพิเศษ
ผมเอง ไม่ได้คิดจะขึ้นถ้ำ เพราะเคยขึ้นไปมาแล้ว และไม่ค่อยจะประทับใจกับถ้ำที่นี่นัก แต่ที่เดินข้ามสะพานมาเพราะอยากเข้าห้องน้ำเท่านั้น
เวลาของผมส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการหามุมถ่ายสะพานสลิงสีส้มซะมากกว่า
ภาพ สะพาน ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-15 mm F2.8 Fisheye ถ่ายที่ 15mm โหมด AV F 16 1/30s ISO 400 รูปแบบภาพ ภาพวิว + HDR โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ + 1.00 EV แต่งเพิ่มฟ้า
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #24 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 02:49:11 PM » |
|
ออกจากถ้ำจัง ไกด์พาเข้าที่พัก "ภูอ่างคำเรสซิเดนท์" เมื่อนำของเข้าเก็บในห้องแล้ว ทุกคนก็มาทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารของโรงแรมนั่นเอง
เสร็จจากอาหารเย็น พวกเราจึงออกเดินดูตลาดในวังเวียง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านบาร์เหล้า มีลูกค้าฝรั่งมังค่านั่งกันซะมากกว่า
สมาชิคท่านหนึ่งอยากไปลองกิน "โรตี" ของวังเวียง เพราะป๊อกกี้บอกว่าใครมาวังเวียงไม่ได้ลองกินโรตีของที่นี่นับว่าเสียทีที่ได้มา
ดังนั้น พวกเราทั้งกลุ่มที่เพิ่งอิ่มจากอาหารเย็นจึงอดไม่ได้ที่จะแวะร้านโรตีที่มีร้านขายอยู่ดาษดื่นเต็มไปหมดแทบทุกถนนก็ว่าได้
สั่งกันมาลองชิมๆดู แล้วก็สรุปได้ว่า โรตี ของที่นี่ ราคา 50 บาท ใส่ได้ทุกไส้ก็จริง แต่เทียบกับโรตีที่ไทยแล้ว ดูเหมือนว่ายังแพงพอดูทีเดียว
แถมรสชาติโรตีขี้คุยก็ยังไม่ค่อยจะถูกปากพวกเรานัก ซึ่งต้องบอกว่า ค่าครองชีพในลาว สูงกว่าบ้านเรามากนัก เช่น มะพร้าวอ่อน ลูกล่ะ 63 บาท บ้านเรา 20 บาทก็โวยกันแล้ว
น้ำอัดลม เครื่องกระป๋อง และขนมขบเคี้ยวต่างๆ ส่วนใหญ่นำเข้าจากไทย ราคาจึงแพงกว่าอย่างไม่ต้องคิด อาหารอื่นๆแทบทุกอย่างแพงกว่าไทยทั้งสิ้น
แต่เท่าที่ทราบมา อัตราเงินเดือนข้าราชการ เช่น ครู เงินเดือนประจำเดือนล่ะประมาณ 580,000 - 600,000 กีบ คิดเป็นเงินไทยราว 2,500 -2,600 บาท เท่านั้น
ชนชาวลาว จึงต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนพอควร การกิน การอยู่ประจำวันต้องใช้วิธี ปลูกผักสวนครัวไว้กินเองเป็นส่วนใหญ่ ปลาก็หาเอาตามลำน้ำ
ลาว ไม่มีพื้นที่ติดทะเล จึงไม่มีอาหารทะเล ปลา ส่วนใหญ่จึงเป็นปลาน้ำจืด
หลังจากที่รู้รสชาติกันแล้ว พวกเราบางส่วนก็แยกกลับไปนอนเอาแรงสำหรับวันพรุ่งนี้
ส่วนพวกตากล้องทั้งหลายก็เดินดุ่มๆไปหาช่องทางที่จะลงริมน้ำซอง เผื่อว่าจะมีวิถีชีวิตยามค่ำของชาวบ้านให้ส่องได้บ้าง
เดินย่องส่องช่องหาทางลงแม่น้ำแทบไม่เจอ ต่างกันกับเมื่อหลายปีก่อนลิบลับ ทุกที่ถูกจับจองเปิดเป็นร้านบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ
มีการก่อสร้างตึกรามบ้านช่องมากมาย บดบังทัศนวิสัยที่เคยสวยงามในอดีตไปเสียสิ้น วันนี้ วังเวียงจึงไม่หลงเหลือความสงบ น่าอยู่ น่ามาพักผ่อนไปเสียสิ้น
กลายเป็นเมืองธุระกิจท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ มีอักษรเกาหลี ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ เต็มหน้าร้านอาหารและร้านบริการท่องเที่ยว แม้แต่ร้านรถเข็นที่ขายโรตีก็ไม่เว้น
มี ผับ บาร์ ส่งเสียงอึกทึก ครึกโครม สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ผุดขึ้นมาใหม่ราวดอกเห็ด
วิถ๊ชีวิตที่เคยเรียบง่ายประดุจราวสาวน้อยที่ใส ซื่อ บริสุทธิ์ กลายมาเป็นสาวใหญ่ กร้านโลก แทน น่าเสียดายจริงๆ
จะโทษที่ใคร ต้องโทษที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆนี่แหละ ที่เข้าไปทำลายธรรมชาติ ความงดงามที่บริสุทธิ์ไป
หลังจากที่เจาะเดินลงไป 2-3 ช่อง จนถึงแม่น้ำซอง สิ่งที่เห็นนั่นก็คือ ร้านบริการนั่งกินเหล้า จิบเบียร์ ที่ผุดอยู่ริมน้ำทั้งนั้น เมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราจึงชวนกันกลับโรงแรม
ภาพ สภาพริมน้ำซอง ยามค่ำคืน ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-24-105 mm F 4 ถ่ายที่ 24mm โหมด AV F 4 1/8s ISO 6400 รูปแบบภาพ ภาพวิว โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ 0.00 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #25 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 04:07:55 PM » |
|
หลังจากที่เห็นสภาพบ้านเมืองของวังเวียงค่ำนั้นแล้ว พวกเราเหล่าตากล้องก็ลงความเห็นกันว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ฉะนั้น เช้าพรุ่งนี้จึงไม่คิดว่าจะตื่นขี้นมาหามุมเก็บวิวและวิถีชีวิตของชาววังเวียงกันอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่ได้นัดหมายกันว่าจะตื่นไปถ่ายภาพกี่โมง
ตีห้ากว่าๆ.... น้าคิงมาเคาะประตูเรียก ถามว่า จะไม่ออกไปดูที่ริมน้ำจริงๆเหรอ....?
เอ้า... ดันมาปลุกซะแล้วนี่ เมื่อตื่นแล้วก็ไปสิครับ จะมามัวนอนฝันถึงวิมานไหนอีกเล่า
อาบน้ำแปรงฟันอย่างรวกๆ เสร็จแล้วทั้งผมและน้ายอดก็เดินออกมาที่ล๊อปบี้โรงแรม เจอน้าคิงนั่งตีหน้าเศร้ารออยู่
"ฝนมันตกอ่ะ คงไปไม่ได้แล้วมั้ง?" น้าคิงบอก
เราสองคนแหงะหน้ามองออกไปหน้าโรงแรม เห็นพื้นเปียกๆในความมืด ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก แต่ก็พอดูออกว่ามันเปียก นึกในใจว่า ฝนมันคงตกผ่านไปแล้วมั้ง พื้นเปียกแค่นี้ไม่ใช่ปัญหาสักหน่อย
กะว่านั่งที่หน้าล๊อปบี้สักพักก็จะออกไป ที่ไหนได้ ฝนมันดันเทกระหน่ำซ้ำลงมาอีกรอบ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ไหนพยากรณ์อากาศบอกว่า วังเวียง อากาศเย็น ไม่มีฝนไงว๊ะ
แล้วไอ้ที่ตกกระหน่ำอยู่นี่มันคืออะไร หิมะเร๊อะ? เซ็งเป็ด เซ็งห่านเลย น้าคิงรวบกระเป๋ากล้องได้ก็ลุกขึ้นบอกว่า.... "กลับไปนอนกอดเมียในห้องนอนดีกว่า....."
ผมกับน้ายอดมองสบตากันยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
หลังจากน้าคิงไปแล้วเราสองคนก็นั่งรอต่อไปอย่างไม่รู้จะทำอะไร แต่เวลาผ่านไปราว 1/2 ชั่วโมง ฟ้าเริ่มสาง สว่างมากขึ้น แลเห็นอะไรรางๆนั่นเอง ฝนก็หยุดตก
น้ายอดหันมาพยักเพยิดกับผมว่า ไปได้แล้ว "เฮ้ย.... แฉะๆอย่างนี้ ยังจะไปอีกหรือ?" ผมถาม
"อ้าว.... ก็มาแล้วนี่นา ก็ต้องไปดูซะหน่อยสิ" น้ายอดแกว่า เอาว๊ะ ไปก็ไป
เราสองคนมีเวลาไม่มากนักเพราะนี่มันก็ 6.20น. เข้าไปแล้ว ไกด์ป๊อกกี้นัดทานข้าวเช้า 7.00น. เราสองคนเลยเดินจ้ำอ้าวยังกะตามควายหายไปริมน้ำซองที่หมายตาแต่เมื่อคืน
ฟ้ารุ่งสางสว่างแล้ว ทำให้เห็นอะไร ต่อมิอะไรชัดเจนขึ้น อะฮ้า..... ร้านรวงที่บริการนักท่องเที่ยวเมื่อคืนยังคงปิดร้านหลับไหลไม่ตื่น
สายหมอกหลังฝนจางๆ กับทิวเขาสลับซับซ้อนตรงหน้า ฝั่งตรงข้ามที่เรายืนอยู่นั้น ยังดูดี ไม่ถูกบุกรุกมากนัก เรียกได้ว่า ยังดูใกล้เคียงเดิม
เอาล่ะ เวลามีไม่มากนัก ผมกับน้ายอดแยกกัน มุมใครมุมมัน เลือกเอาเอง กดถ่ายมาแบบไม่ต้องคิดไรมาก เพราะไม่มีเวลา แชะอย่างเดียวเลย
ภาพ สภาพริมน้ำซอง ยามเช้า ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-24-105 mm F 4 ถ่ายที่ 90mm โหมด AV F 8 1/20s ISO 400 รูปแบบภาพ ภาพวิว + HDR โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ - 1.33 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #26 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 04:19:38 PM » |
|
บรรยากาศแบบนี้ มันคงสภาพได้ไม่นานนัก เราสองคนจึงรีบๆกดโดยแทบจะไม่มองหน้าใครทั้งนั้น เวลากระชันใกล้เข้ามา
"เฮ้ย.... เผ่นกันเถอะ หมดเวลาแล้ว" ผมตะโกนบอกน้ายอด และเก็บขาตั้งกล้องยัดใส่กระเป๋า
"เออ..ๆ... รู้แล้ว ไปก่อนเลย เดี๋ยวตาม" น้ายอดตะโกนตอบมา
ผมเดินขึ้นจากริมน้ำ แหงะหน้ามองฟ้า อะหา..... โน่น..... บอลลูน กำลังล่องลอยสูงขึ้น
เอาไงดีว๊ะ จะมัวงัดขาตั้งกล้องออกมาอีก ก็เกรงว่าบอลลูนจะลอยสูงเกินเลนส์เอื้อม เอาว๊ะ เล่นมันด้วยมือนี่แหละว๊ะ ถ่ายไว้ก่อน พ่อสอนไว้ ว่าแล้วก็วางกระเป๋ากล้องลง งัดกล้องขึ้นมาส่องได้ก็กดแชะๆๆๆๆ ไปหลายแชะ
อะฮ้า...... เรามีบอลลูนเอาไว้ประกอบฉากภาพวิวริมน้ำซองยามเช้าที่เพิ่งถ่ายมาเมื่อตะกี้แล้ว 555
ภาพ สภาพริมน้ำซอง ยามเช้า ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-24-105 mm F 4 ถ่ายที่ 40mm โหมด AV F 8 1/80s ISO 400 รูปแบบภาพ ภาพวิว + HDR โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ - 1.33 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/xx.gif) |
« ตอบ #27 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2015, 04:30:51 PM » |
|
หลังจากที่ได้ภาพบอลลูนแล้ว ผมตั้งท่าจะเก็บกล้องลงกระเป๋า ขณะนั้นเองที่หันไปเห็นแถวพระสงฆ์กำลังเดินบิณฑบาตรออกจากโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผมตาลีตาเหลือก งัดกล้องกลับขึ้นมาใหม่ แต่สายไปเสัยแล้ว พระเดินผ่านหน้าผมไปแล้ว
กำลังยืนงงว่าจะเอาไงต่อดี ก็พอดีได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งดังตุปๆมาทางข้างหลังผม และน้ายอดก็วิ่งผ่านหน้าผมไปพร้อมกับตะโกนเตือนสติผมว่า
"วิ่งไปดักรอข้างหน้าสิ" แกตะโกนบอกโดยที่ไม่ได้หยุดวิ่ง ผมได้สติ คว้ากระเป๋ากล้องได้ก็วิ่งกระย่องกระแย่งตามไป
เราตามพระมาทันตรงโค้งถนนที่เมื่อคืนเรามายืนชิมโรตีนั่นแหละ มีชาวบ้านกำลังใส่บาตร เอาล่ะ อย่างน้อยก็ได้ภาพวิถีชีวิตของชาววังเวียงบ้างล่ะน่า.....
ภาพ ใส่บาตรยามเช้า ถ่ายด้วยกล้อง 5D Mk III + Lens EF-24-105 mm F 4 ถ่ายที่ 35mm โหมด AV F 6.3 1/30s ISO 400 รูปแบบภาพ ภาพวิว โดยตั้งค่ากลางเอาไว้ที่ - 0.33 EV
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
chit_50
บุคคลทั่วไป
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/smiley.gif) |
« ตอบ #28 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 05:28:39 AM » |
|
...อ่านคำบรรยายประกอบภาพเพลินไปเลยครับ แต่มาสะดุดตรงภาพนี้ FRW_0005 พระหัวทิ่มอะครับ...
น้าน........ ผมลงแล้วก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม พระหัวทิ่มลง แต่..... ก็อยากลองดูว่าจะมีใครสังเกตุเห็นบ้างครับ น้าชิต ยอด...มาก 555 เดี๋ยวแก้ให้ครับ อิๆๆ ![](http://spc2010.net/Smileys/default/gc_24.gif)
|
|
|
|
|
chit_50
บุคคลทั่วไป
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/smiley.gif) |
« ตอบ #29 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2015, 05:33:55 AM » |
|
หลังจากชมพระธาตุหลวงแล้ว เพิ่งจะ 11 โมงกว่า ไกด์ก็พาไปทานข้าวเที่ยง พวกเราทุกคนร้องว่านี่มันยังไม่ทันจะเที่ยง ไกด์บอกว่า หลังอาหาร พวกเราจะต้องนั่งรถกันยาวเลยและต้องใช้เวลาเดินทางถึงวังเวียงราว 5 ชั่วโมง
ระยะทางจากเวียงจันถึงวังเวียงราว 160 ก.ม. ระหว่างทาง เวียงจัน-วังเวียง ไม่มีร้านอาหารที่ดีพอสำหรับพวกเราด้วย และตามโปรแกรมแล้ว เราจะต้องไปถึงถ้ำจังตอนบ่าย 4 โมง ฉะนั้นต้องรีบกินรีบไป โอ้เอ้ไม่ได้
โห.... 160 กิโล เราต้องเดินทาง 5 ชั่วโมง เฉลี่ย... 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง นี่มันคลานเป็นเต่าเลยอ่ะ แต่พอไปเจอเส้นทางมรดกโลกของจริงเข้า รู้เลย ว่าวิ่งได้เร็วแค่นี้ก็เก่งแล้วครับ
อยู่บนรถช่วงว่างๆ เราลองมาเรียนภาษาลาวบางคำดูครับ
คำไทย คำลาว ไฟเขียว = ไฟปลดปล่อย ไฟแดง = ไฟอำนาจ ไฟเหลือง = ไฟลังเล ไฟเหลืองกระพริบ = ไฟเสรี
...แล้วไฟหลากสีละครับเค้า เรียกว่าอะไร...
|
|
|
|
|
|