กุมภาพันธ์ 06, 2025, 06:56:23 PM
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
*

ตามรอยพระพุทธองค์
หน้า: « 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 »   ลงล่าง
  พิมพ์  

  ตามรอยพระพุทธองค์
ผู้เขียน ข้อความ
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #270 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2011, 09:38:49 PM »

เชตวันมหาวิหารที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้สร้างถวายด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง  ตามตำนานเล่าเอาไว้ว่า  อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นชาวเมืองสาวัตถี  ไปค้าขายที่เมืองราชคฤห์ได้พบพระบรมศาสดาที่สีตวัน   เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรม  จึงอาราธนานิมนต์ให้พระพุทธองค์มาโปรดที่เมืองสาวัตถี  แล้วอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงไปขอซื้อป่าไม้ของเจ้าเชตซึ่งอยู่นอกเมืองสาวัตถี  เพื่อจะสร้างอารามถวายพระบรมศาสดา  ในตอนแรกเจ้าเชตซึ่งนับถือศาสนาพราหมอยู่จึงไม่ยินดีที่จะมีศาสนาอื่นมาอยู่ใกล้ๆจึงบอกไม่ยอมขายให้และพูดแบบประชดประชันว่าถ้าอนาถบิณฑิกเศรษฐีอยากได้ก็ให้เอาเหรียญทองมาปูให้เต็มป่าจึงจะยอมขายให้  แต่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เอาเหรียญทองไปปูจนเต็มป่าจริงๆ  ทำให้เจ้าเชตเห็นถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าของอนาถบิณฑิกเศรษฐ๊  จึงยอมลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง  แล้วอนาถบิณฑิกเศรษฐ๊ก็ได้เอาทองที่เหลือนั้นสร้างมหาวิหารขึ้นแล้วเรียกชื่อเชตวันตามชื่อเจ้าของเดิม

จากการสร้างวัดทำบุญใหญ่ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เป็นเรื่องที่ลือลั่นสนั่นไปทั่วกรุงสาวัตถี  เพราะยังไม่เคยมีเศรษฐีที่ไหนกล้าทำบุญมากถึงขนาดนี้มาก่อน  ทำให้เจ้าลัทธิต่างๆในสาวัตถีพากันริษยา และต่อต้านการกระทำของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เมื่อพระสารีบุตรมาช่วยงานก่อสร้างก็เลยต้องเผชิญหน้ากับเจ้าลัทธิต่างๆเหล่านั้น  และได้ประลองฝีปากกันอย่างหนักและเอาชนะเจ้าลัทธิเหล่านั้นได้

เชตวันมหาวิหาร ก็เหมือนกับทุกๆสิ่งบนโลก  ที่มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ต้องเสื่อมสูญสลายไปในที่สุด  ถึงวาระสุดท้ายเมื่อถูกพวกมุสลิมรุกรานในปีพ.ศ.1671 มุสลิมได้เข้าทำลายวัดวาอารามจนหมดสิ้น  วัดเชตวันมหาวิหารจึงจมดินจมทราย เหลือเพียงอิฐหักกากปูนไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้เราได้จดจำและอาดูร

ในภาพ เป็นมูลคันธกุฏี  กุฏิที่พระพุทธเจ้าประทับจำพรรษามากที่สุด


* IMG_5163.JPG (176.45 KB, 928x628 - ดู 105 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 25, 2011, 09:44:33 PM โดย FRW »

Share

แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #271 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:15:54 PM »

ขอบคุณครับน้าอันดามัน ที่เข้ามาให้กำลังใจกันครับ


ถ่ายคันธกุฏีเสร็จ  เห็นเพื่อนกำลังถ่ายเจ้านกกินปลีสีสวย  เลยรีบเปลี่ยนเลนส์ 70-200 + TC 2X  เข้าไป  ด้วยความรีบร้อน  เลยลืมปรับ iso เพิ่ม  เลยได้มาแต่เพียงวิญญาณนกกินปลีเท่านั้น  อยากเข็กกระโหลกตัวเองแท้ๆ  แต่ไม่เป็นไร  มองหานกอื่นๆก็ได้  เลยได้เจ้าสองตัวนี้มาแทนครับ


* IMG_5157.JPG (177.07 KB, 928x628 - ดู 111 ครั้ง.)

* IMG_5172.JPG (190.29 KB, 928x628 - ดู 88 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #272 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:29:08 PM »

ห่างจากกำแพงวัดเชตวันไม่ไกลนัก   เป็นสถานที่ตั้งของสถูปใหญ่หลังหนึ่งอันเป็นที่ตั้งของบ้านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ที่ปรึกษาสายเศรษฐกิจของพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้สร้างพระอารามเชตวันมหาวิหาร  บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยแห่งอดีตที่ซุกซ่อนอยู่กับเศษซากกองอิฐอันยาวนาน   ก้อนอิฐที่เรียงเป็นชั้นหักปรักพังมีไว้ให้เราอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและมองย้อนไปถึงอดีตที่ผ่านมา

อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นอุบาสกคนสำคัญในสมัยพุทธกาล   ท่านเกิดในเรือนของสมุนเศรษฐีเดิมที่ชื่อว่า สุทัตต  ต่อมาท่านเศรษฐีได้หันมานับถือศาสนาพุทธแล้วบรรลุโสดาปัตติผล  เป็นผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้ามาก  สร้างวัดพระเชตวันถวายแด่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ที่เมืองสาวัตถี   ท่านเศรษฐ๊นอกจากจะอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์แล้วยังได้สงเคราะห์คนยากไร้อนาถาอย่างมากมายเป็นประจำจึงได้ชื่อว่า "อนาถบิณฑิกเศรษฐ๊"  ซึ่งแปลว่าเศรษฐ๊ผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา


* IMG_5180.JPG (171.12 KB, 928x628 - ดู 101 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #273 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:31:47 PM »

ดูๆไปแล้วซากกองอิฐที่เห็นก็ไม่ค่อยมีลักษณะคล้ายบ้านเรือนสักเท่าไรนัก  จึงสัญนิฐานเอาเองว่า  เศษซากกองอิฐนี้น่าจะมีอายุไม่ถึงพุทธกาล  น่าจะเป็นการสร้างขึ้นภายหลังมากกว่า


* IMG_5183.JPG (189.5 KB, 928x628 - ดู 87 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 01, 2011, 08:23:51 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #274 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:53:02 PM »

เยื้องๆฝั่งตรงข้ามกับบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี  เป็นบ้านของบิดาของท่าน จอมโจรองคุลีมาร  ซึ่งบิดาของท่านก็รับราชการในพระเจ้าปเสนทิโกศล  แต่องคุลีมารดันเกิดมาในฤกษ์ดาวโจร  ด้วยความเป็นห่วง บิดาจึงส่งตัวไปให้อาจารย์อบรมแต่เล็ก   แต่อาจารย์ขององคุลีมารกลับหลอกให้เค้าไปเที่ยวฆ่าคนเพื่อตัดเอานิ้วมาเซ่นอาจารย์เพื่อขอเรียนวิชาพิเศษจากอาจารย์  จนกระทั่งวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เล็งเห็นด้วยญาณว่า  หากไม่ไปขัดขวาง  องคุลีมารคงจะต้องทำปิตุฆาตด้วยว่า บิดาและมารดาของเค้ากำลังจะเดินทางผ่านไปตรงที่เค้ากำลังดักรอฆ่าคนอยู่  เมื่อเห็นพระพุทธองค์ คุลีมารก็ตรงเข้าหมายทำร้ายพระองค์  แต่วิ่งเข้าหาเท่าไรก็เข้าไปไม่ถึงสักทีจึงคำรามด้วยความโกรธว่า "ท่านทำไมไม่หยุดสักที"  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
"ดูก่อนคุลีมาร  เรานะหยุดแล้ว  แต่ท่านสิยังไม่หยุด"  องคุลีมารฟังแล้วฉุกใจคิดว่าน่าจะเป็นปริษนาจึงหยุดลง  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นเช่นนั้นจึงตรัสอีกว่า
"ดูก่อนคุลีมาร  เธอจงนั่งลงเถิดเราจักแสดงธรรมแก่เธอ"  เมื่อองคุลีมารนั่งลงแล้วพระพุทธองค์ก็ได้แสดงธรรมจนในที่สุดองคุลีมารก็เกิดดวงตาเห็นธรรมวางอาวุธและทูลขอบวชต่อพระองค์ และในกาลต่อๆมาก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์


* IMG_5194.JPG (185.39 KB, 928x628 - ดู 90 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2015, 09:28:31 AM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #275 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 01:55:55 PM »

ระหว่างที่ผมเดินกลับมาที่รถ  เจอครูพานักเรียนมาทัศนศึกษา  พวกเราเลยรุมกันขอถ่ายรูปกับเด็กๆอินเดีย  แต่เด็กๆเหล่านั้นกับชอบอกชอบใจขอถ่ายกับพวกเราแทน


* IMG_5196.JPG (141.47 KB, 928x628 - ดู 78 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #276 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 02:46:37 PM »

สถูปยมกปาฏิหาริย์

อยู่ห่างจากเชตวันมหาวิหารราว 2 กิโลเมตร  ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันว่า สวนมะม่วงของนายคัณฑกะ  จึงสันนิษฐานว่าสถานที่นี้คือสถานที่ที่พระบรมศาสดาแสดงยมกปาฏิหาริย์  เรื่องเล่ากันเอาไว้ว่า  ในสมัยนั้นในกรุงสาวัตถี  ลาภสักการะอันเคยบริบูรณ์แก่เหล่าเดียรถีย์ได้เสื่อมลงเป็นอันดับเพราะมหาชนหันมานับถือพระพุทธศาสนามากขึ้น  เป็นเหตุให้เหล่าเดียรถีย์หาทางทำลายพระพุทธศาสนาทุกวิถีทาง  โดยมีความเห็นพ้องกันว่า  สาเหตุเพราะสำนักของพุทธโคดมตั้งอยู่ในทำเลที่ดี  การคมนาคมสะดวกแก่เหล่าชนที่จะไปฟังธรรม  ลาภสักการะจึงเกิดแก่พระสมณโคดมมากมาย  เหล่าเดียรถีย์จึงคิดสร้างสำนักของตนขึ้นที่หลังวัดเชตวัน  ได้นำเอาเครื่องบรรณาการไปถวายแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลแล้วขอพระราชทานที่ดิน  ขณะกำลังดำเนินการก่อสร้าง  พระพุทธองค์ทรงดำริว่า  การนี้อาจเป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนาในอนาคต  จึงให้พระอานนท์ไปทูลพระเจ้าปเสนทิโกศล  แต่ถูกพระเจ้าปเสนทิโกศลปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ  ในที่สุดพระศาสดาจึงต้องเสด็จไปด้วยพระองค์เอง  เมื่อไปถึงแล้วพระองค์ก็ไม่ตรัสถามความใดๆ  แต่ทรงยกภรุชาดกเป็นอุทาหรณ์ว่า
"ในอดีตมีนักบวชสองพวกพำนักอยู่โคนต้นไทร  พวกหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ  พวกหนึ่งอยู่ทางทิศใต้  ต่อมาต้นไทรทางด้านทิศใต้เกิดเ ห ี่ยวแห้งตายจึงยกพวกไปรุกล้ำเข้าไปทางทิศเหนือ จึงเกิดการวิวาทกับพวกที่อยู่ก่อน  ในที่สุดก็ไปหาพระราชาแห่งกรุงภรุให้ตัดสินให้  แต่นักบวชฝ่ายที่รุกล้ำได้ถวายเรือสำหรับเป็นราชพาหนะแก่ภรุราชา  พระราชาจึงตัดสินให้ฝ่ายที่มอบเรือเป็นผู้ชนะด้วยความลำเอียง  ทำให้เทวดาที่อยู่ในกรุงภรุทั้งสิ้นโกรธที่พระราชาตัดสินลำเอียง จนเป็นเหตุให้ผู้มีศีลทะเลาะกันด้วยอำนาจแห่งฉันทาคติ   เทวดาจึงบันดาลให้เมืองภรุจมลงใต้ทะเล  ประสบความพินาศใหญ่หลวง ล่มจมกันทั้งแว่นแคว้น"
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้สดับดังนั้น  จึงมีรับสั่งให้นักบวชเหล่านั้นออกไปจากที่  แล้วทรงสร้างที่นั้นให้เป็นอารามสำหรับภิกษุณีแทน

ยมกปาฏิหาริย์ คือธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ณ.ชานกรุงสาวัตถีในวันเพ็ญเดือน 8  ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ต่อคำท้าทายของเหล่าเดียรถีย์   ซึ่งเป็นการแสดงครั้งสำคัญและครั้งสุดท้ายของพระบรมศาสดา  ทำให้ชาวเมืองสาวัตถีตื่นเต้นในอภินิหารของพระศาสดา  และทำให้ลัทธิอื่นๆในสาวัตถีเสื่อมถอยลงไปมาก เพราะใครๆก็หันมานับถือศาสนาพุทธ  และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เหล่าเดียรถีย์ต้องจ้างนางจิณจมาณวิกาไปทำลายชื่อเสียงของพระบรมศาสดา

โดยปกติพระพุทธองค์ไม่โปรดการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์  ทรงห้ามภิกษุแสดงปาฏิหาริย์ด้วย  แต่ทรงเน้นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของพระธรรมมากกว่า  เมื่อพระองค์ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์เหล่าเดียรถีย์จึงฉวยโอกาสท้าทายต่างๆนานา  ที่สุดพระองค์จึงประกาศแสดงยมกปาฏิหาริย์ใกล้ๆนครสาวัตถีในวันเพ็ญเดือน 8  พวกเดียรถีย์เมื่อรู้ว่าพระองค์จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ใกล้ๆต้นมะม่วง  ก็ไปเที่ยวหาซื้อและขุดต้นมะม่วงทิ้งหมด  แต่เมื่อถึงเวลาที่จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ก็มีนายอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศลชื่อ คัณฑกะ สอยมะม่วงในอุทยานติดมือไปถวายพระองค์  เมื่อพระพุทธองค์เสวยเนื้อมะม่วงแล้วก็ให้นายคัณฑกะเพาะเมล็ดลงในดิน  ทรงใช้น้ำล้างพระหัตถ์รดลงไปเมล็ดมะม่วงนั้นก็เกิดเป็นต้นมะม่วงสูง 5 ศอกทันที

พระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์คือ ปาฏิหาริย์คู่  ให้ไฟพุ่งออกจากายเบื้องบน น้ำพุ่งออกจากกายเบื้องล่าง  ไฟพุ่งออกจากกายเบื้องหน้า น้ำพุ่งออกจากกายเบื้องหลัง  ไฟพุ่งออกจากพระหัตถ์ซ้าย น้ำพุ่งออกจากพระหัตถ์ขวา  ไฟพุ่งออกจากพระเนตรเบื้องขวา น้ำพุ่งออกจากพระกรรณเบื้องซ้าย  พวกเหล่าเดียรถีย์ไม่มีปัญญาจะทำได้ เลยต้องพ่ายแพ้ไปหมดอย่างไม่เป็นท่า  เมื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงห์

หลังจากที่ผมลงมาจากเนินซากอิฐ  ก็เจอกับไกด์สาวของเราเลยแกล้งถามไปว่า  มีหลักฐานอะไรที่แสดงให้เห็นว่าที่ตรงนี้เป็นสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ของพระองค์  เพราะตามความเข้าใจของผม  ผมว่าในสมัยนั้นพระพุทธองค์คงไม่ได้ให้ใครมาสร้างกองอิฐเอาไว้เพื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์แน่ๆ  แล้วไฉนจึงมีกองซากอิฐสูงขึ้นไปดั่งนั้น  แกทำเสียงอึกอักๆตอบแบบอ้อมแอ้มว่า  ก็ใครๆเค้าก็ว่าเป็นที่ตรงนี้นี่นา  ผมจึงว่าใช่  ใครๆว่าตรงนี้  แต่ผมถามว่ามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่าใช่ตรงนี้  ไม่ใช่พวกเราถูกแขกมันหลอกเอานะ  แกก็เลยหันไปถามกับเจ้าขาวผ่อง ไกด์แขก   แล้วหันหน้ามาบอกผมว่าไกด์แขกบอกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่แสดงยมกปาฏิหาริย์หรอก  แต่เป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพุทธมารดา  แต่แกก็ยังทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจ  แล้วสองคนก็เกิดการโต้เถียงกันใหญ่  ผมขี้เกียจจะฟังเลยบอกเค้าไปว่า เถียงกันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยบอกผม


* IMG_5209.JPG (160.66 KB, 928x628 - ดู 84 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 03:00:10 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #277 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 05:59:51 PM »

เช้าวันที่ 28 มกราคม 2554  พวกเราต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม  เพราะว่าวันนี้เราต้องออกจากเมืองสาวัตถีไปเมืองลัคเนา เพื่อขึ้นสายการบินภายในประเทศของอินเดีย ไปลงที่นิวเดลี  และจะต้องนั่งรถจากเมืองหลวงไปยังเมืองอัคราซึ่งเป็นที่ตั้งของทัชมาฮาล  ระหว่างทางสองฝั่งทางก็มีแต่ทุ่งนาข้าวสาลีสลับกับทุ่งมัสตาร์ด


* IMG_5234.JPG (188.52 KB, 928x628 - ดู 97 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2012, 04:17:37 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #278 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:04:13 PM »

หลังอาหารเช้าเราก็ออกเดินทาง  บางช่วงของถนนรถติดนานมาก  กว่าจะไปได้ถึงรู้ว่าสะพานขาด  ทางการกำลังซ่อมสะพานอยู่  ทำให้รถผ่านได้ลำบากมาก  เราแวะพักรถระหว่างทาง  พวกเราลงจากรถไปบิดแก้เมื่อยขบกัน  ผมได้ยินเสียงร้องของเจ้ากะเต็นปักหลัก  เลยย่องๆเข้าไปที่ริมสระน้ำใกล้ๆแถวนั้น  เห็นมันกำลังกระพือปีกลอยตัวอยู่กลางอากาศ  จัดแจงเตรียมตัวเตรียมกล้อง  ที่ไหนได้  มันดันบินหนีไปซะนี่  เลยต้องหันไปส่องนกในกอไผ่แทน


* IMG_5220.JPG (140.25 KB, 928x628 - ดู 85 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #279 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:11:03 PM »

พวกเราเดินทางมาถึงเมืองลัคเนาราวก่อนเที่ยงเล็กน้อย  ที่เมืองนี้ดูเจริญหูเจริญตากว่าเมืองที่ผ่านๆมา เพราะดูสะอาดสะอ้านกว่ากันเยอะมาก  บ้านเมืองก็ดูทันสมัยกว่า  แต่มองดูการใช้รถใช้ถนนก็เหมือนเดิม มีรถทุกชนิดบนถนน  เพียงแต่ว่าถนนที่นี่มันกว้างขวางกว่าที่เมืองพาราณสีเยอะ  รถจึงไม่ค่อยติดเท่าไรนัก

รถของเราวิ่งผ่านป้ายจราจรที่มีข้อความเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า  ไปเมืองอัครา เมืองแห่งทัชมาฮาล ระยะทาง 360 Km  แต่เส้นทางที่จะไปเมืองนิวเดลี ระยะทาง 500 Km  แต่เท่าที่ทราบมาว่า  ระยะทางจากเมืองนิวเดลีไปเมืองอัคราราว 250 Km ผมอ่านแล้วเอามา   บวก-ลบ-คูณ-หาร ดูแล้วเรานั่งรถน้อยลงไปราว 100 Km เท่านั้น แต่การขึ้นเครื่องบินของที่นี่  ปรากฏว่าเราต้องฝ่าระบบการตรวจกระเป๋าและร่างกายชนิดระเอียดยิบแทบจะจับเราแก้ผ้าเลย  ของสนามบินเมืองลัคเนา และต้องรอจากก่อนเที่ยงจนถึงบ่าย 3 โมงกว่าจึงได้ขึ้นเครื่องและบินไปถึงเมืองนิวเดลีเอาบ่าย 4 โมงกว่าด้วยระยะทาง 500 Km เพื่อที่จะย่นย่อระยะทางจากเมืองลัคเนาไปอัคราลงเพียงราว 100 Km เศษๆ  หากเป็นที่เมืองไทย  ด้วยระยะทางขนาดนี้  ขับรถเพียงชั่วโมงเดียวเอง  แต่นี่ต้องมาเสียเวลาที่สนามบินไปราว 4 ชั่วโมง  แต่ถึงจะเป็นที่อินเดียก็ตาม  รถเค้าจะวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยราว 30 Km ต่อชั่วโมง  4 ชั่วโมงก็น่าจะได้ราว 100 Km ขึ้นไป  วันนั้น  พวกเราไปถึงเมืองอัคราราว 4 ทุ่ม  ถ้าตามที่ผมคำนวนว่า หากเราวิ่งตรงจากเมืองลัคเนาไปที่เมืองอัคราเลย ด้วยระยะทาง 360 Km เราก็น่าจะถึงอัคราราว 4 ทุ่มเหมือนกัน  ทัวร์มันคิดได้ไงให้เราต้องขึ้นเครื่องบินไป

 ตามโปรแกรมของเราจะทานข้าวเที่ยงที่นี่  แต่พอเข้าไปที่ร้านอาหารในโรงแรม ปรากฏว่า อาหารยังไม่เสร็จพวกเราเลยต้องรอ  แต่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะเวลาเครื่องขึ้นประมาณบ่าย 3 โมง  มีเวลาถมเถไป



* IMG_5238.JPG (168.5 KB, 928x628 - ดู 104 ครั้ง.)

* IMG_5239.JPG (170.61 KB, 928x628 - ดู 96 ครั้ง.)

* IMG_5240.JPG (194.06 KB, 928x628 - ดู 83 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2015, 09:54:26 AM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #280 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:38:06 PM »

ระหว่างที่รออาหารเที่ยง  ไม่มีไรทำก็เดินถ่ายอะไรในโรงแรมไปตามเรื่อง

คนเฝ้าประตู


* IMG_5241.JPG (170.87 KB, 628x928 - ดู 107 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #281 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:38:39 PM »

พวกเรากันเอง


* IMG_5249.JPG (187.94 KB, 928x628 - ดู 82 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #282 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:39:13 PM »

ผนังหน้าห้องน้ำ


* IMG_5251.JPG (181.26 KB, 628x928 - ดู 109 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #283 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:42:11 PM »

กว่าจะได้ทานอาหารเที่ยงก็บ่ายโมงไปแล้ว  ออกจากร้านอาหารมาที่หน้าโรงแรมผมเจอคู่ปรับเก่าที่ถ่ายแล้วเบลอ  แต่คราวนี้ดันไม่มี TC เลยต้องกดมันด้วย 200 mm กดไปแค่ 2 ภาพ  ปรากฏว่าเพื่อนพ้องเดินหายไปกันหมดแล้ว  รีบตาลีตาเหลือกตามหาเพราะกลัวโดนทิ้งครับ


* IMG_5254.JPG (144.78 KB, 928x628 - ดู 77 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #284 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:50:07 PM »

หลังจากที่พวกเราฝ่าด่านตรวจค้นเข้าไปได้  เข้าไปนั่งรอในห้องผู้โดยสารขาออกของสนามบินเมืองลัคเนา  พวกเราเหลียวมองหาไม่เจอไกด์แขก  ทุกคนแอบดีใจกันใหญ่ว่าต่อแต่นี้เราไม่ต้องมีมันมาให้เกะกะสายตาอีก  เพราะอยู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย  ก่อนเข้าสนามบิน พวกเรารวบรวมเงินทริปคนขับกับเด็กรถ  แต่ไม่ได้ให้เจ้าไกด์แขกกันเลยสักรูเดียว


ถึงสนามบินเมืองนิวเดลี  กว่าจะรับกระเป๋าเดินทางออกมาและกว่ารถที่ทางนิวเดลีจะหาเจอพวกเรา เวลามันใกล้ค่ำเต็มทีแล้ว  หันไปมองสนามบินใหม่ของเมืองนิวเดลีที่ชื่อว่าสนามบิน "อินทิรา คานธี" หน้าตาแทบจะถอดเอาแบบอย่างมาจากสนามบินสุวรรณภูมิของเรามาทุกกระเบียดนิ้วเพียงแค่ย่อสัดส่วนให้มันเล็กกระทักรัดพอเหมาะแก่การใช้งานของเค้าเท่านั้น  นี่แหละหนา  หลายคนในประเทศเราไม่รู้สึกภูมิใจ  แต่ชาวต่างชาติกลับเห็นว่าแบบสนามบินของเรานั้นดีที่สุดแล้ว

จากสนามบิน เราแวะทานอาหารเย็นแล้วก็ดิ่งไปเมืองอัครากันเลย  แต่กว่าเราจะถึงที่พักก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มเศษแล้ว


* IMG_5256.JPG (177.9 KB, 928x628 - ดู 105 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2011, 06:53:45 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป

หน้า: « 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 »   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 

กระโดดไป:  

T--shirt Motor CRC