wave565
สมาชิกใหม่
ออฟไลน์
เพศ: ![ชาย](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/Male.gif)
กระทู้: 0
bigboy 565.multiply.com
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #210 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 08:10:29 PM » |
|
|
จับกล้อง กดชัตเตอร์ นี่แหละความสุขของชีวิต
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #211 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 08:31:20 PM » |
|
ก็มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละคน แต่ละประเทศ แต่ละศาสนา [/quoหน้าหมีไม่สนใจจะไปชำระร่ายกายมั้งเหรอครับ ร่างกายจะได้สะอาด
จ๊าก..... ร่างกายผมสะอาดสะอ้านอยู่แว๊ว..... หุๆ กลัวน้ำคงคาอ่ะ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #212 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 08:33:21 PM » |
|
ขอบคุณครับน้าตี๋ ว่าแต่ไปเขาใหญ่มามีนกมาฝากมั่งเปล่าครับ แบบว่า ไม่ได้มีนกตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
kpossible
สมาชิกใหม่
ออฟไลน์
เพศ: ![ชาย](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/Male.gif)
กระทู้: 0
something better than nothing
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #213 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2011, 10:02:09 PM » |
|
ตามมาดูภาคต่อครับ สุดยอดมากครับ ![](http://spc2010.net/Smileys/default/gc_24.gif)
|
|
|
|
|
warwick
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #214 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2011, 11:40:11 PM » |
|
อ่าน จะ ชั่วโมงแล้วยังไม่จบเลย ^^ ยาวจริง ได้เหมือนได้ไปด้วยเลยนะครับ น้าหมี เด่วมาอ่านต่อนะคร้่าบบ
|
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #215 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:27:29 AM » |
|
พวกเราออกจากกรุงพาราณสีเอาเกือบๆ 11.00น. เข้าไปแล้ว หลังจากต้องฝ่าการจราจรจราจลของกรุงพาราณสีออกมาได้ เราก็บ่ายหน้าขึ้นทางทิศเหนือ มุ่งสู่เมืองกุสินารากัน ระหว่างทางพวกเราแว๊ะทานข้าวเที่ยงเอาบ่ายสามโมง พี่อู๋ถามไกด์ว่า เราจะไปถึงกุสินาราเมื่อไร ไกด์สาวตอบอ้อมแอ้มว่าคงจะบ่ายแก่ๆ
หลังจากที่เราขึ้นรถแล้วตะลอนกันต่อจนเกือบเย็นก็ยังไม่ถึง หลายคนเริ่มกระสับกระส่าย โดยเฉพาะผมที่หมายมั่นเอาไว้ในใจว่าต้องไปชมสี่สังเวชนียสถานให้ครบให้ได้ หากพลาดไม่ได้เข้าที่ใดที่หนึ่งก็จะเดือดร้อนต้องกลับมาเก็บอีกภายหลัง จึงกระสับกระส่ายมากกว่าใคร แต่กลับเป็นน้าอู๋อีกแหละที่ตะโกนถามไกด์ว่า เมื่อไรมันจะถึงสักที ไกด์สองคนค่อยแยกจากกันอย่างยืดยาดอาลัยอาวรณ์กันซะเหลือเกิน คว้าไมค์มาตอบคำถามน้าอู๋ว่า พวกเราคงไปถึงเย็นๆ แต่ไม่เป็นไร เราเข้ากันตอนเย็นๆก็ได้
รถพาพวกเราวิ่งกันจนแสงสุดท้ายของวันหมดไปแล้ว รถก็ยังห้อตะบึงไม่มีวี่แววว่าจะหยุด น้าอู๋ถามอีกครั้งว่า จวนถึงแล้วหรือยัง ไกด์สาวตอบแบบไม่ค่อยเต็มคำว่าอีกสักเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว ถึงมืดหน่อย แต่ไม่เป็นไร เราเข้าไปชมตอนค่ำก็ได้ เพราะเค้าเปิดให้เข้าตอนค่ำๆได้ น้าอู่จึงเตรียมใส่ไฟแฟลช แบบที่เรียกว่า กล้องพร้อม ไฟพร้อม
ราวสองทุ่ม รถเลี้ยวเข้าไปจอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ไกด์สองคนลงจากรถไปสั่งการให้เด็กยกกระเป๋าเดินทางของพวกเราลงจากรถ พวกเราทุกคนลงจากรถอย่าง งงๆ ทุกคนคิดว่าไกด์คงจะให้พวกเราลงกินข้าวเย็นกันก่อนไปชมสถานที่ปรินิพพาน แต่พอไกด์เข้ามาบอกหน้าตายว่า "คืนนี้เราพักกันที่นี่นะคะ และเชิญทุกท่านทานข้าวกันค่ะ" น้าอู๋ก็ถามโพล่งขึ้นว่า "ก็ไหนว่าเราจะไปชมสถูปปรินิพพานกันคืนนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพามาโรงแรมเลยล่ะ" ไกด์บอกว่า "มันเลยเวลาอาหารเย็นมามากแล้ว กลัวว่าทุกท่านจะหิว ก็เลยพามากินข้าวก่อนค่ะ" น้าอู๋ก็เลยถามอีกว่า "แล้วตกลงคืนนี้จะไปเปล่า" ไกด์ตอบว่า "ก็เห็นเดินทางกันมาเหนื่อยทั้งวัน ก็เลยจะให้ไปพักผ่อนก่อนค่ะ" "เอ..... อย่างนี้มันตอแหลกันนี่หว่า... ไอ้เรื่องกิน เรื่องนอน น่ะเอาไว้พูดกันทีหลังดีกว่า เพราะพวกผมมันคนหลังกล้อง เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องเล็ก แต่เรื่องไปถ่ายรูปเรื่องใหญ่ ถามทีแรกบอกว่าถึงบ่ายๆ พอบ่ายถามก็บอกว่าเย็นๆ พอเย็นก็บอกว่าค่ำๆ พอตอนนี้ก็ว่าไม่ไปแล้ว ทำอย่างนี้ผมว่ามันใช้ไม่ได้แล้ว" น้าอู๋วีนแตกโวยวายใส่ไกด์ "ที่มาถึงช้าก็เพราะว่า เมื่อเช้าทุกท่านโอ้เอ้กันอยู่ที่ริมฝั่งคงคา เลยทำให้ออกจากพาราณสีช้า เลยต้องมาถึงที่นี่ช้าไปด้วยค่ะ" ไกด์พยายามอธิบาย แต่พอน้าอู๋ได้ยินเข้าเท่านั้น แกก็ยิ่งเสียงดังใส่ไกด์เข้าไปใหญ่ว่า "อ้าว..... กลายเป็นมาโทษพวกผม ก็แล้วไกด์เคยมีหมายกำหนดการของแต่ล่ะวันให้พวกผมไหม ตั้งแต่ออกเที่ยวกันมานี่ ไม่เคยเห็นหมายกำหนดการของเธอเลย ว่าเวลาเท่าไร จะอยู่ที่ไหน แล้วจะต้องไปไหนต่อ ต้องใช้เวลาเดินทางเท่าไร เคยมีไหม แล้วพวกผมจะไปตรัสรู้ได้อย่างไรว่ามันจะต้องเดินทางกันกี่ชั่วโมง ในเมื่อเธอรู้เองอยู่คนเดียว ทำไมตอนอยู่ที่พาราณสี เธอไม่เตือนพวกเราว่าต้องรีบขึ้น เพราะถ้าสายแล้วอาจมาไม่ทันกุสินาราปิด พอมาเป็นแบบนี้ เธอกับว่าพวกผมโอ้เอ้ ทั้งๆที่เมื่อเช้า ผมก็ยังบอกเธอเองว่า ทำไมไม่เรียกทุกคนกลับโรงแรม เธอเองยังตอบว่า ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา แต่ตอนนี้ก็มาพูดอีกอย่างนึง" และแล้ว.... ไกด์สาวคนสวยก็เลยถูกพวกเรารุมเรียงคิวกันซะคนล่ะคำสองคำ ฮ่าๆๆ สะใจ
เข้าไปในร้านอาหารของโรงแรม ไกด์มาเอาใจด้วยการเอาเบียร์เย็นๆมาอภินันทนาการให้ทุกคน แต่....... อนิจา... ทุกคนพร้อมใจกันเมินเบียร์ ไกด์เปลี่ยนกลยุทธใหม่ด้วยการเอาเหล้ามาแทน แต่ทุกคนก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง มีน้าอู๋คนเดียวที่หันไปถามว่า "เปลี่ยนจากเหล้า-เบียร์ เป็นน้ำอัดลมได้ไหม" ไกด์แขกมันตอบว่า "สั่งได้" น้าอู๋เลยสั่งโคกมาดับอารมณร้อนๆซะ 1 ขวด แต่พอตอนจบ ทางร้านอาหารมันเอาบิลค่าโคกมาเก็บที่น้าอู๋ ฮ่าๆๆๆ อย่างนี้สิ มันถึงต้องตีแขกก่อนไง
ผลจากการเจรจากันเรื่องหมายท่องเที่ยวของวันพรุ่งนี้ สืบเนื่องจากออกจากกุสินาราแล้ว เราต้องข้ามชายแดนไปฝั่งประเทศเนปาลเพื่อมนัสการสถานที่ประสูติ ซึ่งจะต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของเนปาลอาจเสียเวลามาก และจากกุสินาราต้องนั่งรถไปอีกราว 6 ชั่วโมงจึงจะถึงชายแดน บางคนบอกว่าให้ตัดรายการสถูปปรินิพพานไปเสียเพื่อไม่ไห้พลาดรายการอื่นๆอีก ผมใจแป้วเลย กรรมของตรูแน่ๆ มาจนถึงแล้วยังไม่ได้เห็นอีก แล้วในที่สุด "เอางี้ได้ไหม พรุ่งนี้เราตื่นกันแต่เช้าๆหน่อย แล้วเราแว๊ะเข้าไปมนัสการสูปกันเล็กน้อย ก่อนออกไปชายดแดน" ไกด์ถาม "ไม่เห็นจะเป็นปัญหาเลย ขอให้บอก จะให้ตื่นกันตีสองตีสามก็ได้ พวกเราทำได้กันทั้งนั้น แต่ขอให้รู้ก็แล้วกัน" น้าอู๋ตอกย้ำอีกครั้ง สรุปว่า ไกด์ให้เราตื่นตี 4 อาหารเช้าตี 5 หกโมงเช้าเดินทาง
แต่พอไปถึงสถูป ที่ไหนได้ เค้ายังไม่เปิดให้เข้าชม ต้องรอ 7.00น.ก่อน กำเวรจริงๆ ไกด์ตัวดีทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ น้าอู๋แอบบ่นว่า มันเป็นไกด์ตัวจริงหรือเปล่าว๊ะ ทำไมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ดันให้เราตื่นแต่เช้ามาแล้วเข้าไม่ได้ แล้วจะให้รีบๆตื่นมาทำไม
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #216 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:51:11 AM » |
|
บ่นกันมาตั้งยืดยาวก็เพื่ออยากให้เห็นความสามารถพิเศษของไกด์ครับ มาเข้าเรื่องของเราต่อกันดีกว่า
หลังจากที่ประตูเปิด พวกเราก็ได้เข้าไปในสถานที่เป็นคณะแรกของวันนั้น พอเดินผ่านพ้นประตูรั้วสถานที่เข้าไปเท่านั้น ผมรู้สึกตัวเย็นวาบๆ แล้วเม็ดฝนก็หล่นกระทบตัวผมหลายเม็ด ทุกคนร้องขึ้นว่า "ฝนตก" แล้วพากันยกกล้องวิ่งหนีฝนกัน มีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่ได้หนีเพราะเงยหน้ามองบนฟากฟ้าแล้วคิดว่า 'เอ.... เฆมก็ไม่มีเค้าว่าฝนจะตกนี่นา แล้วมันตกไดเไง คงไม่ใช่ฝนตกแล้วล่ะมั้ง เม็ดฝนมันดูห่างๆพิกล แถมเม็ดใหญ่บ้างเล็กบ้างอย่างนี้ มันน่าจะเป็นน้ำพระพุทธมนต์มากกว่า' ผมเลยยืนรอรับน้ำมนต์จากฟ้าไปเต็มๆ
จริงดั่งคาด หลังจากที่เปราะแประอยู่ไม่กี่เม็ด น้ำฝนที่ว่าก็หายไป พวกเราเดินลึกใกล้เข้าไปที่สถูป เห็นแม่ชีชาวพม่าแต่งชุดสีชมพูเดินเรียงแถวเข้ามาจากอีกมุมหนึ่งของรั้วบริเวณ แม่ชีกำลังนำภัตราหารไปถวายพระพุทธองค์เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ได้เสด็จดับขันธ์ เรารีบเดินตามเข้าไปครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #217 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 11:00:05 AM » |
|
จากเมื่อวานที่ออกจากกรุงพาราณสี ผมมีอาการไม่ค่อยดี คือรู้สึกท้องปั่นป่วนเหมือนท้องเสียจึงรีบกินยาดักเอาไว้ก่อน แต่ครั้นพอนั่งรถก็รู้สึกว่า กำลังจะเป็นไข้ จากนั้น เมื่อคืนที่ผ่านมา อากาศที่กุสินาราก็หนาวเย็นจัด ราวๆ 6 องศา ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าไข้กำเริบมากขึ้น แต่พอเข้ามาที่นี้ เห็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานที่มองดูเหมือนคนจริงๆก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเหมือนได้มาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์พระพุทธองค์จริงๆ ไข้ที่ว่า หายไปชั่วคราวทันที บรรยากาศที่เยือกเย็น สงบนิ่ง ผสมกับความอาดูรแผ่ซ่านอยู่ทุกอณูของพื้นที่แห่งนี้
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #218 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 11:09:51 AM » |
|
"เราย่อมรู้ที่ทอดทิ้งร่างกาย อานนท์ เราไม่เห็นสถานที่ใดในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่ตถาคตจะทอดทิ้งร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากสถานที่นี้"
พระพุทธองค์เคยตรัสกับพระอานนท์ที่เมืองเวสาลีว่า "บุคคลใดเจริญซึ่งอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา หากปราถนาจะให้อายุดำรงค์อยู่ถึง 1 กัปป์หรือมากกว่าก็ย่อมทำได้" แต่พระอานนท์มิได้เฉลียวใจ จึงมิได้ทูลขอให้พระพุทธองค์ดำรงค์พระชีพถึง 1 กัปป์ตามนัยที่พระองค์ทรงแสดงไว้ กระทั่งเมื่อพระพุทธองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ ปลงอายุสังขาร ณ.ปาวาลเจดีย์ว่า "อีก 3 เดือน ตถาคตจะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน..."
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
~$#MOSO_d60#฿~
สมาชิกใหม่
ออฟไลน์
เพศ: ![ชาย](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/Male.gif)
กระทู้: 0
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #219 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 11:19:28 AM » |
|
เห็นนิ้วเท้าพระพุทธองค์มั๊ยครับ นิ้วไม่เท่ากันหมด
แต่ถ้าเป็นในไทย นิ้วเท้าจะเท่ากันหมด
แสดงว่าเป็นความเชื่อของชาวไทยหรือเปล่าครับ
|
Thanks: ฝากรูปการแข่งขัน ทำให้เกิดการพัฒนา
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #220 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 11:47:44 AM » |
|
ตามพระพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระพุทธองค์เสด็จรอนแรมไปสู่หมู่บ้าน ภัณฑุคาม บ้านหัตถีคาม บ้านอัมพคาม บ้านชัมพูคาม เมืองโภคนคร และพักเทศนาตามลำดับ จนถึงเมืองปาวา เสด็จไปประทับอยู่ในสวนมะม่วงของนาย จุนทกัมมารบุตร และที่นี่เองที่พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารเป็นมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะจัดถวาย โดยที่เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงพร้อมพระภิกษุสงฆ์ พระองค์ตรัสเรียกให้นายจุนทะนำสุกรมัททวะมาถวายเฉพาะพระองค์เท่านั้น ให้ถวายอาหารอื่นๆแก่พระภิกษุสงฆ์ เมื่อฉันแล้ว ตรัสสั่งให้นำสุกรมัททวะที่เหลือไปฝังเสีย "ดูก่อนจุนทะ ท่านจงฝังสุกรมัททวะที่ยังเหลือเสียในหลุม เรายังไม่เคยเห็นใครเลยในมนุษย์โลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก ที่บริโภคสุกรมัททวะนั้นแล้ว จะพึงย่อยไปด้วยดี นอกจากตถาคต"
นายจุนทะทำตามพระพุทธบัญชาแล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมให้นายจุนทะ แลัวเสด็จลุกจากอาสนะกลับที่ประทับ วันนั้นเอง หลังจากที่เสวยสุกรมัททวะพระพุทธเจ้าก็ทรงพระประชวร มีอาการลงพระโลหิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังทรงมีพระวิริยะอันแก่กล้าเดินทางรอนแรมไปให้ถึงเมืองกุสินาราตามพุทธประสงค์ ทรงได้รับทุกขเวทนาอย่างมาก แต่ก็ยังทรงสติสัมปชัญญะมั่นคง ไม่มีอาการทุรนทุราย
พระพุทธองค์เสด็จออกจากเมืองปาวา พร้อมด้วยพระสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะที่เสด็จดำเนินทรงกระหายน้ำจึงแวะพัก ณ.โคนไม้ริมทาง ตรัสสั่งให้พระอานนท์ปูผ้าสังฆาฏิถวาย หลังจากประทับบนอาสนะแล้วก็รับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำจากแม่น้ำเล็กๆที่อยู่แถวนั้นมาให้เพราะทรงกระหายใคร่จะดื่มน้ำ พระอานนท์ไม่ไปตักน้ำตามพระบัญชาเพราะเห็นเกวียน 500 เล่มเพิ่งข้ามน้ำไปไม่นาน ทำให้น้ำขุ่นมาก แต่พระองค์ก็ตรัสยืนยันถึง 3 ครั้ง ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ พระอานนท์จึงถือบาตรไปยังแม่น้ำเพื่อตักตักน้ำตามพุทธบัญชา แต่เมื่อพระอานนท์เดินเข้าไปใกล้แม่น้ำ น้ำในแม่น้ำที่ขุ่นมัวเพราะถูกล้อเกวียนย่ำไปกลับใสสะอาด มีกระแสไหลตามปกติเหมือนไม่เคยมีล้อเกวียนย่ำผ่านไป พระอานนท์จึงเอาบาตรตักน้ำไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลเหตุอัศจรรย์
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #221 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 11:58:35 AM » |
|
เห็นนิ้วเท้าพระพุทธองค์มั๊ยครับ นิ้วไม่เท่ากันหมด
แต่ถ้าเป็นในไทย นิ้วเท้าจะเท่ากันหมด
แสดงว่าเป็นความเชื่อของชาวไทยหรือเปล่าครับ
ใช่ครับ พระพุทธรูปปางปรินิพพานของที่อินเดีย เค้าจะสร้างเหมือนคนจริงครับ นอกจากนิ้วพระบาทแล้ว ให้สังเกตุพระหัตถ์ที่รองพระพักต์ด้วยครับ ของเราจะทำมุมตั้งตรงแล้วยกพระพักต์ขึ้นสูง แต่ของเค้าจะราบกับหมอนรองเหมือนคนธรรมดา ดูแล้วทำให้รู้สึกว่าพระองค์ท่านกำลังทรงพระประชวรจริงๆครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #222 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 12:16:26 PM » |
|
เมื่อพระองค์เสด็จถึงเมืองกุสินารา ประทับบรรทมสีหไสยาสน์ภายใต้ต้นสาละคู่แล้วได้ทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปแจ้งข่าวแก่มัลลกษัตริย์ ด้วยพระดำรัสว่า "อานนท์ เธอจงเข้าไปเมืองกุสินารา แล้วบอกแก่มัลลกษัตริย์ว่า คืนนี้ ในยามสุดท้ายแห่งราตรี ตถาคตจักปรินิพพาน ท่านควรเห็นตถาคตเสียก่อนพระองค์จะปรินิพพาน ไม่เช่นนั้นท่านจะร้อนใจในภายหลังว่า พวกเราไม่ได้เข้าเฝ้าพระตถาคตเจ้าในครั้งสุดท้าย"
พระพุทธองค์ขอให้พระอานนท์จัดตั้งที่นอนผินศรีษะไปทางเหนือระหว่างไม้สาระทั้งคู่นั้น เมื่อพระองค์ประทับสีหไสยาสน์ก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ดอกสาระผลิดอกผิดฤดูกาล ล่วงหล่นพร่างพรูลงมาถวายสักการบูชาพระตถาคต พระบรมศาสดาจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ การบูชาก็เท่านั้นแหละ ตถาคตมิได้ยินดีเท่ากับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ได้ประพฤติตาม ปฏบัติตาม ปฏิบัติธรรมด้วยยินดี เป็นการบูชาอย่างสูงต่อพระตถาคต"
แล้วพระบรมศาสดาก็ตรัสสอนประโยคสุดท้าย ณ.สังเวชนียสถานแห่งนี้ว่า..... "วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ" ความว่า.. "สังขารธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา ขอท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #223 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 12:22:38 PM » |
|
เมืองกุสินารา ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตำบลกาเซีย ในเขตจังหวัด กุศินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ เคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นมัลละ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #224 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 12:25:31 PM » |
|
มกุฏพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
|