FRW
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:12:14 PM » |
|
หญิงชาวบ้านแถวๆนั้น แม่บ้านชาวอินเดีย ยังนิยมเอาสิ่งของขึ้นเทินอยู่บนหัว สอบถามได้ความว่า สิ่งที่เธอแบกมา ในนั้นเป็นขี้วัวตากแห้ง ซึ่งเธอจะเอาไปเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหารประจำวันของครอบครัวเธอ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:43:49 PM » |
|
เราย้อนกลับไปตรงที่จอดรถ เพื่อชมบ้านของนางสุชาดา ปัจจุบันมีเพียงเนินดินที่มองเห็นเท่านั้น แวดล้อมด้วยต้นตาล และกองฟาง
บริเวณนี้ เรียกกันว่า "สุชาฎากุฎี" ลักษณะเป็นเนินดินสูงประมาณ 3 เมตร
มีเรื่องเล่าในพุทธประวัติว่า นางสุชาดา เป็นธิดาของคฤหบดีผู้มั่งคั่งในตำบลนั้น เคยตั้งปณิธานบูชาเทพารักษ์เมื่อครั้งยังเป็นสาวว่า ขอให้นางได้สามีที่ดีมีตระกูลเสมอกัน และขอให้ได้บุตรคนแรกเป็นชาย ครั้นนางได้สามีและบุตรสมใจนึก จึงคิดจะหุงข้าวมธุปายาสอันปราณีตด้วยเครื่องปรุงไปบวงสรวงเทพารักษ์ที่ได้บนเอาไว้
ดังนั้น ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 จึงสั่งบ่าวไพร่เตรียมการทำข้าวปายาส กว่าจะเสร็จก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว นางสุชาดาจึงสั่งให้หญิงคนใช้ไปทำความสะอาดที่โคนต้นไม้ที่จะไปตั้งเครื่องสังเวยเทพารักษ์ หญิงคนใช้จึงตื่นแต่เช้าเดินทางไปยังต้นนิโครธพฤกษ์ แต่กลับเห็นมหาบุรุษทรงประทับนั่งอยู่ที่ควงไม้นั้น ผินพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันออก มีรัศมีกายแผ่ซ่านออกเป็นปริมณฑลงามยิ่งนัก นางจึงทึกทักเอาว่า วันนี้เทพยดาลงมานั่งคอยข้าวปายาสด้วยตัวเองเลยทีเดียว นางจึงรีบกลับไประล่ำระลักบอกนาย
ครั้นนางสุชาดาแต่งกายงามด้วยอาภรณ์เสร็จก็ยกถาดข้าวปายาสที่ใส่ถาดทองไว้ขึ้นทูลเหนือเศียรเกล้าของนาง ลงจากเรือนไปพร้อมกับหญิงคนรับใช้ ครั้นพอถึงก็เห็นพระมหาบุรุษงามด้วยรัษมีดังนั้นก็มีใจโสมนัสเป็นอย่างยิ่งโดยคิดว่าเป็นรุกขเทวดาแน่แล้ว จึงเดินยอบกายเข้าไปถวายข้าวมธุปายาสด้วยความเคารพยิ่ง ขณะนั้นบาตรดินที่เคยใช้อยู่ก็เกิดหายไป พระองค์จึงทรงเหยียดพระหัตถ์ออกรับ แสดงให้นางสุชาดารู้ว่าพระองค์ไม่มีบาตรจะถ่ายข้าว นางสุชาดาทราบโดยพระอาการก็ทูลว่า หม่อมฉันขอถวายให้ทั้งหมด แล้วนางก็กราบถวายบังคมลากลับเรือน
เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงถือถาดข้าวเสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงปั้นข้าวปายาสเป็น 49 ปั้น เสวยจนหมด แล้วทรงถือถาดลงไปสู่แม่น้ำ ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า "ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้เป็นพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปเถิด"
ว่าแล้วก็ทรงลอยถาดทองนั้นลงในแม่น้ำเนรัญชรา ด้วยอานุภาพพระบารมีของพระองค์ก็ได้แสดงให้เห็นเป็นที่อัศจรรย์ ถาดทองนั้นได้ลอยทวนกระแสน้ำแม่น้ำเนรัญชราขึ้นไป 1 เส้น แล้วจึงจมลง
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:49:11 PM » |
|
หลังจากที่เรามองดูเนินดินกันสักพัก ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราจึงขอกลับข้ามฝั่งไปยังเจดีย์พุทธคยาเพื่อถ่ายภาพยามค่ำคืนดีกว่า
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:50:21 PM » |
|
สู้อุตส่าแบกขาตั้งกล้อง ข้ามน้ำข้ามทะเลมา ก็ได้เอาออกมาใช้ตอนนี้แหละครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:54:51 PM » |
|
มุมใครมุมมันครับ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ผมเดินถ่ายไปสักพัก ถึงนึกขึ้นได้ว่า ลืมปิดระบบ IS ของเลนส์ การใช้ชัตเตอร์ช้า และตั้งกล้องอยู่บนขาตั้งกล้องที่นิ่งดีแล้ว เราควรต้องปิดระบบกันสั่นเสีย ไม่เช่นนั้นระบบกันสั่นมันอาจทำให้เราได้ภาพที่ไม่คมชัดเท่าที่ควรซะเอง ซึ่งผมเองก็เคยมีประสบการณ์โดนมาแล้วด้วย ถ่ายมาแทบต้องเอาทิ้งซะหมด กรรมจริงๆ เลยต้องเดินย้อนกลับไปเริ่มถ่ายมาใหม่อีกที
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:56:09 PM » |
|
ก็ยังนับว่าโชคดีที่ยังอยู่ตรงนั้น หากกลับมาแล้วถึงพบว่ามันไม่ชัด ก็สวัสดียามเศร้า
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 08:58:45 PM » |
|
และบางมุมที่อยู่ในมุมอับแสง เช่นภาพนี้เป็นต้น ผมก็ต้องใช้วิธีเดิมออกมาหากินอีกครั้งครับ เอาไฟฉายส่อง อิๆๆ
แนวไฟฉายที่ส่องบริเวณ ตั้งแต่กลางเจดีย์จนถึงยอดเจดี และบริเวณต้นไม้ที่อยู่สองด้านครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 09:00:33 PM » |
|
แต่บางภาพ ผมก็ใช้วิธีเล่นกับ WB บ้าง เล่นกับ Ship บ้าง
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 09:02:27 PM » |
|
ก็มัวแต่เล่น เลยแทบจะถูกเพื่อนฝูงทิ้งซะแล้ว ก็กว่าผมจะเดินครบรอบ คนอื่นๆเค้าถ่ายเสร็จกันไปถึงไหนๆแล้ว
กลับไปนอนเอาแรงไว้สู้กับพรุ่งนี้ดีกว่าครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
HS0DKR
สมาชิกใหม่
ออฟไลน์
กระทู้: 0
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 09:04:10 PM » |
|
หลังจากที่เรามองดูเนินดินกันสักพัก ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราจึงขอกลับข้ามฝั่งไปยังเจดีย์พุทธคยาเพื่อถ่ายภาพยามค่ำคืนดีกว่า [/qote] ยอดเยี่ยมเลยท่านประธาน ทำได้ไง เห็นผลงานภาพถ่ายท่านประธานแล้ว....อีกยาวนานกว่าจะทำได้อย่างนี้ เฮ้อ...เวลาก็เหลือน้อยแล้ว ขอดูภาพอย่างเดียว แล้วกัน
|
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 09:13:25 PM » |
|
หลังจากที่เรามองดูเนินดินกันสักพัก ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเราจึงขอกลับข้ามฝั่งไปยังเจดีย์พุทธคยาเพื่อถ่ายภาพยามค่ำคืนดีกว่า [/qote] ยอดเยี่ยมเลยท่านประธาน ทำได้ไง เห็นผลงานภาพถ่ายท่านประธานแล้ว....อีกยาวนานกว่าจะทำได้อย่างนี้ เฮ้อ...เวลาก็เหลือน้อยแล้ว ขอดูภาพอย่างเดียว แล้วกัน ขอบคุณครับ อาจารย์แม่ เอาไว้ติดตามให้จบนะครับ ภาพสวยๆไปอยู่ท้ายๆก่อนกลับครับ ทัชมาฮาล
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
นิดหน่อย
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 09:25:44 PM » |
|
พระแท่นวัชระอาสน์ เป็นแท่นที่พระเจ้าอโศกทรงสร้างไว้ตรงตำแหน่งที่พระพุทธองค์นั่งตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า
"แม้หนัง เอ็น กระดูก จะเหลืออยู่โดยเนื้อและเลือดในร่างกายจะเหือดแห้งไปสิ้นก็ตามที ถ้าเราไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว เราจะไม่ยอมทิ้งความเพียรนั้นเป็นอันขาด"
ปณิธานนี้เป็นการแสดงน้ำพระทัยอันหนักแน่นมั่นคงของพระพุทธองค์ราวกับศิลา และในที่สุดพระพุทธองค์ก็ทรงบรรลุถึงจุดหมายนั้น คือ ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ดวงประทีปแก้วได้อุบัติขึ้นในโลกแล้ว
ครับในหนังกาตูนร์เรื่อง พระพุทธเจ้าก็มีอยู่ตอนหนึ่งเหมือนกันครับที่กล่าวถึงเพราะพึ่งซื้อ cd มาดู ได้ความรู้จากน้าหมีเอยะเลยครับ
|
...คำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย
เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย กับทุกประเทศ มีความคิด-อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ-มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข...
|
|
|
|
Andaman
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 10:13:13 PM » |
|
ตามไปเที่ยวแล้วได้ความรู้อีกต่างหาก...
|
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 10:24:56 AM » |
|
เช้าวันต่อมา วันที่ 23 มกราคม ผมตื่นแต่เช้า รีบๆเข้าไปทานอาหารเช้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิมเมื่อวานยังไงก็ยังงั้น ข้าวสวยแบบไม่มียาง โรตีแผ่นแบบย่างมาบางส่วนไหม้เป็นจุดๆ บางส่วนก็ยังเหนียวๆ ประกอบกับอาหารแบบแขกๆที่ไม่รู้จัก ผมทานไปไม่กี่คำก็หันไปเล่นกาแฟแล้วก็ผลไม้ ซึ่งก็มีแค่ส้มสีเหลืองอร่ามสวยมาก แต่ข้างในก็เหมือนส้มเช้งบ้านเรา รสชาติออกอมเปรี้ยวอมหวาน กับกล้วยแขก ที่มองดูแล้วไม่ค่อยน่ากินเท่าไร ผิวยังเพิ่งมีสีออกเหลืองนวลๆเล็กๆเท่านั้น เอาว๊ะ ในเมื่อไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้ก็ต้องกินมันแบบนี้แหละ รีบๆกินซะจะได้ไปเก็บนกในสวนหน้าโรงแรม แต่ก็ได้แต่นกเดิมๆไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไรนัก แต่เห็นดอกไม้ที่หน้าโรงแรมก็น่าสนใจ เลยถ่ายดอกไม้ซะมากกว่า
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 10:45:41 AM » |
|
หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันแล้ว เราก็ออกเดินทาง ไกด์บอกเราว่า วันนี้จะพาไปดูรอยล้อเกวียนเมื่อ 2500 กว่าปี สมัยพุทธกาลโน้น ที่กรุงราชคฤมีการค้าขายกันมาก มีเกวียนบรรทุกสินค้ามาขายที่เมืองนี้กันมากมาย ร่องรอยของล้อเกวียนยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ผมได้แต่คิดในใจว่า รอยล้อเกวียนอะไรมันจะอยู่คงทนมา 2500 กว่าปีได้ แค่โดนฝนชะรอบเดียวก็หายไปหมดแล้ว แต่ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไกด์เองพอพูดนำแค่นี้แล้วเธอก็แขวนไมค์เหมือนเดิม
ก่อนไปถึงกรุงราชคฤ เราแว๊ะเติมน้ำมันกันครับ เลยเอารูปปั๊มน้ำมันบ้านเค้ามาให้ชมกัน ราคาน้ำมันดีเซลลิตรล่ะ ประมาณ 55 รูปี ก็ราวๆ 38 บาท
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
|