กุมภาพันธ์ 06, 2025, 04:11:39 PM
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
*

ตามรอยพระพุทธองค์
หน้า: « 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 »   ลงล่าง
  พิมพ์  

  ตามรอยพระพุทธองค์
ผู้เขียน ข้อความ
0 สมาชิก และ 39 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 07:55:57 PM »

หลวงจีนพระถังซำจั๋งบันทึกเอาไว้ว่า  

คราวเมื่อพระเจ้าศศางกา กษัตริย์จากแบงกอลได้เข้าไปในวิหารมหาโพธิ์ พบพระปฏิมากรตั้งไว้บูชาองค์หนึ่ง  แรกคิดจะทำลายด้วยมือตนเอง  แต่ครั้นเมื่อได้เห็นพระพักตร์ของพระปฏิมากรที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตาปราณี  พระเจ้าศศางกาก็ทำลายไม่ลง จึงเสด็จกลับพระนคร  ในระหว่างทางฉุกคิดขึ้นได้ว่า  ถ้ายังให้พระพุทธรูปองค์นั้นตั้งอยู่ในวิหารต่อไป  พุทธศาสนิกชนก็คงจะฟืนฟูสถานที่นั้นขึ้นอีก  จึงให้นายทหารผู้หนึ่งไปทำลายพระพุทธรูปนั้นเสีย  และให้ประดิษฐานรูปพระอิศวรขึ้นแทนที่  นายทหารผู้นั้นมาถึงหน้าพระพุทธรูปก็ทำลายไม่ลงอีก  รำพึงว่า  ถ้าหากทำลายพระพุทธรูปองค์นี้แล้วคงต้องตกนรกหมกไหม้ไปนานหลายกัปป์แน่  แต่ถ้าไม่ทำลาย กษัตริย์ก็ต้องทำลายชีวิตเราและครอบครัว จะทำอย่างไร

ในที่สุดก็ตัดสินใจว่า  ไม่ทำลายพระพุทธรูป  แต่จะต้องเอาซ่อนเสียให้พ้นจากสายตาประชาชน  จึงไปตามชาวพุทธผู้มีศรัทธามาแล้วสร้างกำแพงขึ้นที่หน้าพระพุทธรูป กั้นไม่ให้ใครเห็นได้อีก  เมื่อสร้างเสร็จก็เอารูปพระอิศวรตั้งไว้หน้ากำแพง และกลับไปทูลพระเจ้าศศางกาว่าทำลายพระพุทธรูปไปแล้ว  แทนที่พระเจ้าศศางกาจะดีพระทัยกลับหวาดกลัว เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายแก่ตน  นับแต่นั้นมาก็เลยล้มป่วย  มีอาการเจ็บไปทั่วสารพางค์กาย ในไม่ช้าเนื้อก็หลุดออกเป็นชิ้นๆแล้วสิ้นพระชนม์ด้วยความทรมาน

เมื่อพระเจ้าศศางกาสิ้นไปแล้ว  นายทหารผู้รับคำสั่งมาทำลายก็กลัว รีบเดินทางมายังพุทธคยานี้ และรีบทำลายกำแพงที่กั้นหน้าพระพุทธรูปออก  ปรากฏว่า ตะเกียงน้ำมันที่นายทหารจุดบูชาพระพุทธรูปไว้ยังคงลุกแดงอยู่อย่างเดิม


* IMG_3237.JPG (169.33 KB, 606x906 - ดู 212 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 07:59:48 PM โดย FRW »

Share

แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 08:14:07 PM »

รอบๆบริเวณ เราจะพบกับนักแสวงบุญที่มาบูชาสถานที่ตรัสรู้กันมากมาย หลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป  แต่โดยส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแต่เพียงอามิสบูชาเท่านั้น  จะมีปฏิบัติบูชาอยู่บ้างเหมือนกัน  แต่มักจะไปนั่งปฏิบัติกันแถวๆใต้ต้นโพธิ์

บางคนตั้งใจมาไหว้แบบอัษฏางคประดิษฐ์ คือต้องกราบแบบนอนลงราบกับพื้น ไปรอบๆเจดีย์ ให้เท่ากับจำนวนวันของอายุตนเอง ใครอายุ 80 ก็เอา 365 คูณเข้าไป ก็ไม่มากเท่าไหร่ แค่ 29,200 ครั้งเท่านั้น ที่ต้องนอนลง แล้วก็ลุกขึ้นอยู่อย่างนั้น  ถ้าไม่ขาดลมหายใจซะก่อน คนนั้นก็เห็นทีจะอายุยืนแน่ๆ ก็แข็งแรงขนาดนั้นอ่ะ  แถมถ้าไปรับปากฝากกราบแทนใครมากีกราบ  ก็ต้องทำตามที่รับฝากมาให้ครบด้วยนะครับ รับฝากมากราบอีกสักหมื่นนึง ก็ต้องกราบเพิ่มอีกหมื่นนึง เฮ้อ...เหนื่อยแทน  แต่ด้วยความศรัทธา เค้าทำได้ครับ

กราบๆไป นับหลง ก็ต้องไปเริ่มต้นกราบแล้วนับกันใหม่อีกครั้ง  วันนึงหลงซะ 5 รอบ 10 รอบ มีหวังได้อยู่กราบกันตลอดชีวิตแน่ๆ  ชายคนนี้เลยเอาเคาเตอร์มิเตอร์แบบกดมาใช้แทนครับ กราบไปหนึ่งทีก็กดหนึ่งครั้ง  แน่นอนกว่า


* IMG_3244.JPG (155.03 KB, 906x606 - ดู 186 ครั้ง.)

* IMG_3282.JPG (163.2 KB, 906x606 - ดู 183 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 08:17:13 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
chart
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #47 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 08:48:50 PM »

  ขอบคุณน้าหมีที่เอาคาวมรู้มาให้และเอาภาพมาฝากครับ 
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า
นิดหน่อย
คณะกรรมการชมรม
สมาชิกระดับเทพ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 353



ดูรายละเอียด
« ตอบ #48 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 09:40:53 PM »

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามชมกระทู้กันนะครับ

เช้านี้มาเล่าต่อกันอีกสักนิดก่อนทำงาน  มาถึงอินเดียแล้ว  เราลองไปทำความรู้จักกับอินเดียสักหน่อยนะครับ

ปัจจุบัน อินเดียมีพลเมืองราว 1500 ล้านคน (ข้อมูลจากไกด์) และที่ยังตกสำรวจอีกมาก เพราะประเทศมีการแบ่งชั้นวรรณะ จึงทำให้คนบางกลุ่มไม่ไปแจ้งทะเบียนเกิด  เรื่องพลเมืองนี้ ทางอินเดียเคยคุยโวเอาไว้ว่า ในไม่ช้านี้ อินเดียจะขึ้นแซงเป็นอันดับที่ 1 ของโลก โดยแซงหน้าจีนซึ่งครองตำแหน่งมาช้านาน  แต่จีนกลับหัวเราะชอบใจแล้วตอบว่า เชิญรีบๆแซงขึ้นไปเถอะ เพราะไม่อยากได้อยู่แล้ว  80% ของประชากรอาศัยอยู่ตามชนบท และ 70% เป็นชาวเกษตรกร

พื้นที่ของประเทศอินเดีย  3,287,590 ตารางกิโลเมตร มากกว่าไทยเราเกือบ 10 เท่า มีเมืองหลวงชื่อ  นิวเดลี New Delhi  แบ่งการปกครองเป็นแบบสมาพันธรัฐ 25 รัฐ กับอีก 6 สหภาพ  โดยแต่ละรัฐและสหภาพมีสภานิติบัญญัติและคณะรัฐบาลเป็นของตนเอง โดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้กำกับอีกที

เป็นเมืองศาสนาพุทธแท้ๆแต่มีคนนับถือศาสนาพุทธน้อยมาก  แต่ศาสนาพุทธก็มาเติบโตที่เมืองไทย แล้วก็.........ที่เหลือคิดเอาเองครับ

เวลา  ช้ากว่าประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง

ภาษา  ฮินดี้ เป็นภาษาราชการ และภาษาอังกฤษ

ศาสนา  ฮินดู 80%  อิสลาม 11%  คริสต์ 2%  ซิกส์ 2%  พุทธ 0.7%  เชน  0.5%  

สกุลเงิน  1 รูปี  เท่ากับ 12 รูเดือน  แหะๆ  เดี๋ยวจะโดน  1 รูปี เท่ากับ 0.70 บาท  หรือ  100 รูปี เท่ากับ 70 บาทไทย โดยประมาณ

การรู้หนังสือของพลเมือง  52% ของพลเมืองที่อายุเกิน 7 ปี

เศรฐกิจ   พึ่งพิงการเกษตรเป็นหลัก  ที่ส่งออกมากได้แก่ มัสตาสร์  แต่ก็มีอุตสาห์กรรมมากพอที่จะอยู่ติดอันดับโลกกะเค้าด้วย โดยติด 1 ใน 15 ของโลก

ระบบไฟฟ้า  ได้ถ่านหินลิคไนซ์เป็นพลังงาน  ระบบ 220V ตามครัวเรือน

ฤดูท่องเที่ยว  ตั้งแต่เดือน ตุลาคม จนถึง เดือนมีนาคม ของทุกปี  เพราะจะเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย จนถึงหนาว และอาจะหนาวมาก ในบางช่วง


ที่สถานีรถไฟ เห็นรถไฟลำเลียงถ่านหินครับ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

...คำว่าพอก็เพียงพอ  เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ  ก็มีความโลภน้อย

เมื่อมีความโลภน้อย  ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย  กับทุกประเทศ
มีความคิด-อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ-มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง
หมายความว่า  พอประมาณ  ไม่สุดโต่ง  ไม่โลภอย่างมาก  คนเราก็อยู่เป็นสุข...
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #49 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 07:30:02 AM »

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปลูกอยู่ติดกับพระเจดีย์พุทธคยา ด้านทิศตะวันตก  ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของตำบลพุทธคยา จังหวัดคยา รัฐพิหาร  อยู่ห่างจากแม่น้ำเนรัญชราราว 200 เมตร

ต้นโพธิ์ต้นปัจจุบันปลูกเมื่อปี พ.ศ.2423  ปัจจุบันอายุราว 131 ปี  ลำต้นขนาด 3 คนโอบ สูงประมาณ 80 ฟุต  แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นร่มโพธิ์ทองของชาวพุทธ โดยขณะนี้ทางภาครัฐดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะเป็นต้นไม้ที่สามารถชักชวนนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญเข้าประเทศอินเดียปีล่ะมากๆ  มีกำแพงล้อมรอบเป็นสัดส่วน

พระพุทธองค์ตรัสรู้ใต้ควงไม้โพธิ์เมื่อเพ็ญเดือน 6 ในปฐมยาม   ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ  สามารถระลึกชาติได้ ในมัชฌิมยาม ทรงบรรลุจูตูปปาตญาณ  รู้การเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายได้หมด และในปัจฉิมยาม ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ  ทรงพระปรีชาสามารถทำลายอาสวะกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไปด้วยพระปัญญา โดยอนุโลม ปฏิโลมก็ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ์ญาณ เป็นพระพุทธเจ้าในรุ่งอรุณเพ็ญเดือน 6   ทรงเบิกบานพระหฤทัยอย่างสูงสุดถึงกับอุทานเย้ยตัญหาอันเป็นตัวก่อให้เกิดสังสารวัฏทุกข์แก่พระองค์มาแต่อดีตชาติว่า  "อเนกชาติสังสารัง ฯลฯ"

มีบันทึกว่าในรัชสมัยสมเด็จพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้มอบหมายให้พระอาจารย์ สาย  นำคณะไปขอเมล็ดพันธุ์ต้นโพธิ์นี้เพื่อนำมาปลูกที่ประเทศไทย   ปรากฏว่าในขณะนั้น พราหมณ์ครอบครองอยู่  ต้นโพธิ์ถูกปิดล้อมไว้ถึง 7 ชั้น  แต่ด้วยความที่มีมิตรภาพต่อกัน พราหมณ์จึงได้มอบเมล็ดโพธิ์ให้นำกลับสู่ประเทศไทย  โดยพระองค์ได้ทรงเพาะเอง แล้วนำไปปลูกที่วัดสระเกศ 1 ต้น วัดบวรนิเวศ 1 ต้น วัดมหาธาตุฯ 1 ต้น

ในสมัยของพระเจ้าอโศก (มีรูปหล่อองค์ท่านที่วัดอโศการาม ปากน้ำ) ท่านทรงหมั่นเสด็จไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่เป็นนิตย์  จนมเหสีองค์ใหม่ ชื่อ ดิศราชเทวี หรือ พระนางติษยะรักษิต หรือที่เรียกกันว่า มหิสุนทรี เห็นว่าพระเจ้าอโศกรักต้นโพธิ์ยิ่งกว่าพระนาง  จึงเกิดความริษยา ลอบส่งคนไปทำลายต้นโพธิ์ทิ้งเสีย  ปีที่ต้นโพธิ์ถูกทำลายตรงกับปีที่ 37 แห่งรัชการพระเจ้าอโศก เมื่อท่านทรงทราบเช่นนั้นก็ทรงตกพระทัยและเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง  หลังจากนั้นก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์หลังจากต้นโพธิ์ถูกทำลาย 4 เดือน

มีบันทึกว่า หลังจากที่พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นต้นโพธิ์ล้มลง พระองค์ตกพระทัยจนล้มลง หลังจากที่ทรงฟื้นคืนสติจึงสั่งให้สร้างกำแพงอิฐล้อมรอบรากโพธิืนั้นทันที  และโปรดให้ใช้น้ำนมมารดรากโพธิ์ให้ชุ่มเพื่อให้แตกหน่อขึ้นมาใหม่ ไม่ช้า ต้นโพธิ์ต้นใหม่ก็แตกหน่อจากรากเดิมขึ้นมาอีก

ด้วยสัตย์อธิษฐานของพระเจ้าอโศกมหาราช  ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นที่ 2 ก็เจริญเติบโตมาจนกระทั่งถึง พ.ศ. 1100  พระเจ้าศศางกา กษัตริย์ฮินดูจากแคว้นเบงกอล ไม่พอพระทัยที่เห็นพระพุทธศาสนามาตั้งแข่งอยู่ที่นี่  จึงรับสั่งให้ทำลายวัดวาอารามและต้นศรีมหาโพธิ์  และพระเจ้าศศางกายังเกรงว่ารากโพธิ์จะแตกหน่องอกงามขึ้นได้อีก จึงให้ทั้งขุดรากถอนโคนเอาไปเผาไฟทิ้งให้หมด โดยหวังว่าจะไม่ให้เหลือพันธุ์สืบต่อไปในอนาคต  แต่เผอิญปลายรากแก้วยังถูกขุดทิ้งไม่หมด ต้นโพธิ์จึงยังไม่สูญสิ้นพันธุ์  และหลังจากที่ทำลายวัดและต้นโพธิ์แล้ว พระเจ้าศศางกาก็สิ้นพระชนท์  รวมอายุต้นโพธิ์ต้นที่ 2 ได้ 871 ปี

พระเจ้าปูรณวรมัน  กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ของพระเจ้าอโศกที่ครองแคว้นมคธ ทรงโศกเศร้าพระทัยอย่างยิ่งที่ต้นโพธิ์ถูกทำลาย จึงรีบจัดการเอาน้ำนมจากแม่โค 1000 ตัว รดให้ชุ่มอยู่เสมอ  ในไม่ช้าหน่อโพธิ์ก็แตกหน่อจากรากเดิมมาอีก  ต้นโพธิ์ต้นที่ 3 นี้มีอายุ 1258 ปี จึงหมดอายุขัยตายไปเองตามธรรมชาติ

พ.ศ.2423  รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองอินเดียอยู่ในขณะนั้น ได้ให้ เซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม เข้าไปบูรณะสถานที่ ท่านเซอร์จึงได้ปลูกต้นโพธิ์จากหน่อโพิ์ที่ได้แตกจากรากเดิมลงที่ต้นเดิมอีกครั้ง ต้นโพธิ์ก็เจริญงอกงามมาตาบเท่าทุกวันนี้ รวมอายุต้นโพธิ์ต้นนี้ได้ 131 ปี

ต้นโพธิ์ที่ขึ้นอยู่ด้านหลังองค์เจดีย์พุทธคยา


* IMG_3246.JPG (187.49 KB, 906x606 - ดู 203 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 07:46:02 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #50 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 09:48:40 AM »

พระแท่นวัชระอาสน์  เป็นแท่นที่พระเจ้าอโศกทรงสร้างไว้ตรงตำแหน่งที่พระพุทธองค์นั่งตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์  พระพุทธองค์ทรงตั้งสัตย์อธิษฐานว่า

"แม้หนัง เอ็น กระดูก จะเหลืออยู่โดยเนื้อและเลือดในร่างกายจะเหือดแห้งไปสิ้นก็ตามที  ถ้าเราไม่บรรลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะบรรลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว  เราจะไม่ยอมทิ้งความเพียรนั้นเป็นอันขาด"

ปณิธานนี้เป็นการแสดงน้ำพระทัยอันหนักแน่นมั่นคงของพระพุทธองค์ราวกับศิลา  และในที่สุดพระพุทธองค์ก็ทรงบรรลุถึงจุดหมายนั้น คือ ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ดวงประทีปแก้วได้อุบัติขึ้นในโลกแล้ว


* IMG_3251.JPG (155.28 KB, 906x606 - ดู 176 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 03:16:16 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
BKK
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #51 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 12:10:20 AM »

อาบาละเฮ่...สวัสดีนะนายจ๋า..
ตอนแขกเป่าปี่..งูบนหัวนายออกมาร่ายรำด้วยหรือเปล่า...อิๆๆ
อ้อ...แต่คงไม่นะ....เพราะว่างูนายไม่แรงเท่างูฝ่ายกิจกรรมพอร์ทเทตร..


อย่างโดนเลย อิอิ กระทบที 2 ชิง อิอิ
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 04:19:23 PM »

อาบาละเฮ่...สวัสดีนะนายจ๋า..
ตอนแขกเป่าปี่..งูบนหัวนายออกมาร่ายรำด้วยหรือเปล่า...อิๆๆ
อ้อ...แต่คงไม่นะ....เพราะว่างูนายไม่แรงเท่างูฝ่ายกิจกรรมพอร์ทเทตร..


อย่างโดนเลย อิอิ กระทบที 2 ชิง อิอิ

ชะ  เจ้าสองคนนี่ เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ  คนหนึ่งเปิดประเด็น  คนหนึ่งยกมือสนับสนุน
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #53 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 05:12:26 PM »

เมื่อสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะยังอยู่ในวัง วันหนึ่ง  หลังจากที่เจ้าชายทรงทอดพระเนตรเห็น คนแก่-คนเจ็บ-คนตาย  พระองค์ก็รู้สึกสะท้อนเข้าไปในพระหฤทัยแล้วคิดว่า คนเราเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย กันทุกคนราย  และความตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  ทำอย่างไรคนเราจึงจะไม่ต้องตาย  มันควรจะต้องมีหนทางใดทางหนึ่งแน่นอน ขณะนั้นเจ้าชายก็ทอดพระเนตรเห็นนักบวช  เจ้าชายจึงทรงคิดต่อไปว่า  การออกบวชน่าจะเป็นวิธีที่จะสามารถหาหนทางดับทุกข์นั้นได้ จากเหตุการณ์นี้จึงเป็นปฐมเหตุให้เจ้าชายตัดสินใจออกบวช

หลังจากที่ออกบวชแล้ว เจ้าชายได้เข้าศึกษาเล่าเรียนวิชาจากดาบสสองท่าน ซึ่งดาบสทั้งสองท่านก็สอนเรื่องการนั่งสมาธิฌาญโลกีย์ จนกระทั่งเจ้าชายสำเร็จฌาญโลกีย์ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้  เจ้าชายจึงได้ลาอาจารย์ทั้งสองเข้าป่าเพื่อจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยตนเองต่อไป โดยมีปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ติดตามคอยปรนนิบัติ เมื่อเข้าอยู่ในป่า เจ้าชายก็ทำทุกข์กิริยาโดยการทรมานกายสังขารให้ได้รับความทุกข์อย่างแสนสาหัส โดยเชื่อว่า หากทรมานร่างกายจนถึงที่สุดแล้ว ร่างกายจะชินไปเอง จะไม่รู้ทุกข์อีก  เจ้าชายทดลองกลั้นลมหายใจบ้าง ไม่หลับไม่นอนบ้าง ไม่กินอาหารบ้าง จนร่างกายผ่ายผอมจนเหลือแต่ซี่โครง  แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะทุกข์ได้เลย

จนวันหนึ่งเทวดาแปลงกายมาดีดพิณสามสายถวายเจ้าชาย  โดยสายที่หนึ่งเป็นสายที่หย่อยยาน   เมื่อดีดแล้วก็ไม่มีเสียงอันไพเราะแต่ประการใด  สายที่สองเป็นสายที่ขึงสายไว้ตึงแป๊ะ  พอโดนนิ้วดีดเข้าสายพิณก็ขาด  ส่วนสายที่สามนั้น เป็นสายที่ตั้งสายอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป  เมื่อดีดแล้วก็เกิดเสียงอันไพเราะขึ้น  ทำให้เจ้าชายฉุกคิดขึ้นได้ว่า  อันการใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ลุ่มหลงอยู่แต่โลกีย์วิสัยนั้นก็ย่อหย่อนเกินไป ส่วนการทำทุกข์กิริยานี้ก็ตึงเกินไปอีก  ดังนั้นเราจะใช้ทางสายกลางที่ไม่ตึงไปและไม่หย่อนไป  จากนั้น เจ้าชายสิทธัตถะก็กลับมาเสวยพระกระยาหารดังเดิม ฝ่ายปัญจวัคคีย์เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจว่า เจ้าชายหมดหนทางแล้ว จึงเกิดความเบื่อหน่ายเจ้าชายพากันหลีกเร้นหน้าหายไปหมด  เมื่อปัญจวัคคีย์หนีไปหมดเช่นนั้นก็ทำให้พระองค์บำเพ็ญพรตเป็นเอกเทศได้ จนในที่สุดก็ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นศรีมหาโพธิ์นั่นเอง


* IMG_3257.JPG (182.52 KB, 606x906 - ดู 173 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2012, 11:46:09 AM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #54 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 05:26:12 PM »

เอ......  พระพุทธองค์ ออกบวชเพื่อหาหนทางดับทุกข์ คือความแก่-ความเจ็บ-ความตาย  หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้และออกเผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาแล้ว สุดท้าย ทำไมจึงยังมีสังเวชนีย์สถานแห่งที่ 4   สถานที่เสด็จดับขันท์ ปรินิพพานอีกเล่า  สรุปว่าพระพุทธองค์ท่านได้รู้หนทางดับทุกข์แบบไม่มีการตายอีกจริงหรือไม่

มีคำตอบรออยู่ข้างหน้าครับ


* IMG_3278.JPG (185.02 KB, 606x906 - ดู 181 ครั้ง.)

* IMG_3280.JPG (158.48 KB, 906x606 - ดู 172 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 09, 2016, 02:58:13 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #55 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2011, 09:38:05 PM »

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร  อะไรที่พระองค์ตรัสรู้แล้วนำมาสั่งสอนเวย์ไนยสัตว์

หากจะมองให้กว้างๆก็คงจะตอบว่า  84,000 พระธรรมขันธ์ แต่หากย่อๆให้เหลือหลักๆเลยก็คือ อริยสัตย์สี่ มี ทุกข์ สมุทัย นิโรจน์ และมรรค  ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ เหตุและผล 2 คู่  โดยที่ สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์และทุกข์เป็นผลทุกข์   และอีกคู่คือ มรรคเป็นเหตุแห่งสุขโดยมีนิโรจน์เป็นผลของสุข จะเห็นว่ามีแค่ เหตุทุกข์กับผลทุกข์ และเหตุสุขกับผลสุข  นั่นก็คือ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุ มีผล นั่นเอง พระพุทธองค์ทรงสอนว่าอย่าเชื่อ จนกว่าท่านจะได้ลงมือทำการพิสูจน์ด้วยตัวท่านเองเสียก่อน

จากการที่พระองค์ได้ทำทุกข์กิริยาอยู่นาน  จึงทำให้พระองค์ทรงทราบว่า  การที่จะเอาชนะทุกข์นั้น ไปต่อสู้กับทุกข์จะไม่มีวันชนะทุกข์ไปได้  แต่ให้เลี่ยงไปต่อสู้ที่เหตุทุกข์ โดยการเอาเหตุสุข(มรรค มีองค์ 8)ไปต่อสู้กับเหตุทุกข์(สมุทัย) จนเหตุสุขเอาชนะเหตุทุกข์ได้เมื่อไร  เหตุทุกข์ก็จะหมดไป เมื่อเหตุแห่งทุกข์หมดไป ทุกข์ก็ย่อมจะไม่มี ผลสุขก็จะเกิดเอง

แล้วผลสุขที่ว่าเกิดขึ้นล่ะ มันคืออะไร

สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สัพเพ ธัมมา อนัตตา

รูป-นามหรือขันธ์ของหมู่สัตว์ มนุษย์ และเทวดา ทั้งปวง อวิชชาและตัญหาเป็นผู้ก่อสร้างปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็น อะนิจจา ไม่เที่ยง ไม่มั่นคง
รูป-นามหรือขันธ์ของหมู่สัตว์ มนุษย์ และเทวดา ทั้งปวง อวิชชาและตัญหาเป็นผู้ก่อสร้างปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็น ทุกขา ต้องตาย ต้องเกิด
สิ่งที่ปรุงแต่ง ไม่เที่ยง และตายเกิด ตายเกิดทั้งปวงนี้เป็น อนัตตา สัตว์ก็ไม่ใช่ของตน มนุษย์ก็ไม่ใช่ของตน เทวดาก็ไม่ใช่ของตน เพราะอยู่ในสภาวะที่ควบคุมไม่ได้ ที่อยากได้ก็ไม่ได้ ที่ไม่อยากได้ก็ต้องได้  ฉะนั้นจึงไม่ใช่ตัวตนของเรา สภาวะธรรมเหล่านี้คือ อนัตตา และอนัตตานี่แหละที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความเป็นจริงของอนัตตา และทรงนำมาสั่งสอนเหล่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลายเพื่อเข้าไปให้เห็นถึงความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่ใช่ของเรา


* IMG_3275.JPG (170.13 KB, 606x906 - ดู 187 ครั้ง.)

* IMG_3284.JPG (165.9 KB, 906x606 - ดู 167 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2011, 05:11:52 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #56 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 10:24:57 AM »

สัพเพธัมมา อนัตตา

ธรรมใดๆในโลก เมื่อย่อให้เหลือเล็กที่สุดก็คือ อนัตตา อย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อใช้เหตุสุข (มรรค) เข้าไปสู้กับเหตุทุกข์ด้วยการพิจารณาเพ่งดูทุกๆสิ่งในตัวเราเองว่ามันเป็นธรรมชาติของมันเองอย่างนั้น บังคับไม่ได้  มองให้เห็นความจริงว่ามันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา  เมื่อมรรคเกิดก็จะเข้าไปประหารกิเลส 10 ประการที่เกิดมาพร้อมตัวเราให้หมดสิ้นไป โดยแบ่งเป็นช่วงชั้น 4 ครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรก โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี ไปจนถึง อรหันต์ เมื่อกิเลสตัญหาถูกประหารจนหมดสิ้นไปก็จะบรรลุถึงนิพพาน ความสุข สงบ เย็น ก็จะเข้าแทนที่ จิตก็จะเป็นนิรันด์ เพราะไม่มีกิเลสกรรมซึ่งเป็นเหตุเครื่องนำพาให้ต้องไปเกิดใหม่อีกต่อไป

ในบุคคลปกตินั้น  เกิดมาแล้วจะต้องมีขันธ์ 5 เป็นองค์ประกอบ  เมื่อแยกขันธ์ 5 ออก ก็จะมี รูปกับนาม  คือรูปกายสังขารและจิตวิญญาณ  ครั้นเมื่อสิ้นอายุขัยแห่งตน พอกายดับ จิตก็ดับ  โดยจิตจะหลุดออกจากกายซึ่งเป็นของหนัก จุติเพื่อไปปฏิสนธิ์ในภพภูมิใหม่ตามแรงบุญ-บาปแห่งตน โดยมีกรรมเหตุเป็นเครื่องส่งไปให้ได้รับกรรมผล หรือผลกรรมนั่นเอง ซึ่งก็คือเรื่องของเหตุและผล โดยสามารถพิจารณาได้ดังนี้

ในอดีตทำกรรมเหตุเอาไว้อย่างไร  ปัจจุบันก็ต้องเสวยกรรมผลจากอดีตกรรมเหตุนั้น   และ   การกระทำกรรมเหตุของปัจจุบันย่อมต้องส่งผลเป็นกรรมผลในอนาคตด้วยเช่นกัน
ในปัจจุบันที่เรากำลังเสวยกรรมผลอันเนื่องจากกกรรมเหตุในอดีตนั้น  เราไม่สามารถไปแก้กรรมเหตุในอดีตที่ผ่านไปแล้วได้  แต่ในปัจจุบันเรากำลังทำกรรมเหตุให้ส่งเป็นกรรมผลในอนาคต  เรากำลังอยู่ในปัจจบัน เราจึงสามารถแก้หรือทำกรรมเหตุปัจจุบันเพื่อให้กรรมผลในอนาคตไปในทางด้านดีได้  แล้วเราจะไม่ทำหรือ

กรรมเหตุต่างๆที่จะส่งให้ไปรับกรรมผลมีดังนี้
อปุญญาภิสังขาร คือ การประกอบปาณาติบาตและมิจฉาทิฐิแล้วก่อให้เกิด อกุศลวิบาก 12 โดยมี โลภะ มานะ และทิฐิ เป็นประธาน การกระทำอย่างนั้นเป็นเหตุส่งให้ไปบังเกิดในอบายภูมิ 4 เกิดเป็น เปรต  อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรฉาน
ปุญญาภิสังขาร คือ การประกอบในเรื่องบุญ-ทาน ปัตติทาน ปัตตานุโมทนา และทิฏฐุชุกรรม ซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดกามาวจรกุศลจิต 8 ดวง พร้อมทั้งมีอัตตทิฐิและมานะ  การกระทำอย่างนี้แหละเป็นคติทางเดินส่งให้ไปเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์
ส่วนการฟังธรรม การทำวัตรสวดมนต์และทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรงแล้วประกอบสมถภาวนา 40 ประการ เป็นเหตุให้เกิดปุญญาภิสังขารประการที่ 2  เป็นทางเดินของผู้ที่ได้ ปฐมฌาน 3 ภูมิ ทุติยฌาน 3 ภูมิ ตติยฌาน 3 ภูมิ และจาตุตถฌาน 2 ภูมิ ซึ่งเรียกรวมกันว่า รูปพรหม 11 ภูมิ
อเนญชาภิสังขาร คือ การประฏิบัติสมถภาวนา โดยการเจริญอากาสานัญจายตนะเป็นต้น จนได้อรูปฌาน 4 วิธีปฏิบัติอย่างนี้ เป็นทางเดินไปเกิดเป็นอรูปพรหม 4  ดาบสทั้งสองก็สอนเจ้าชายสิทธัตถะจนมาถึงขั้นนี้ แต่พระองค์ก็ยังรู้ว่ามันยังไม่สามารถหลุดพ้นได้

เมื่อพระพุทธองค์ เจริญวิปัสนาพิจารณาเข้าไปจนเห็นอนัตตาและตัดประหารกิเลสได้จนหมดสิ้น  มองเห็นความจริงว่า กายก็อยู่ส่วนกาย จิตก็อยู่ส่วนจิต ไม่ข้องเกี่ยวกันอีกต่อไป  เมื่อพระพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันต์สาวกทั้งหลายหมดสิ้นอายุขัย  ท่านก็จะละสังขารที่ไม่ใช่ของท่านทิ้งไว้เท่านั้น  คือมีการตายเพียงแค่ร่างกายที่ไม่ใช่ของท่านเท่านั้น จิตของอรหันต์นั้นไม่ตายอีกแล้ว  เมื่อไม่มีการตาย ก็ไม่มีการเกิดอีกเช่นกัน  และนี่คือคำตอบที่ว่า พระพุทธองค์ท่านทรงค้นพบหนทางดับทุกข์ คือความเป็นอมตะ ไม่มีการตายอีก


* IMG_3285.JPG (183.83 KB, 606x906 - ดู 173 ครั้ง.)

* IMG_3288.JPG (191.91 KB, 606x906 - ดู 169 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 10:28:31 AM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
pongpang69
สมาชิกระดับโครตเทพสูงสุด
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 907



ดูรายละเอียด
« ตอบ #57 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 11:33:01 AM »

แจ่มคับน้าหมี...ได้ความรู้เหมือนไปด้วยเลยคับ..
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #58 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 06:26:44 PM »

แจ่มคับน้าหมี...ได้ความรู้เหมือนไปด้วยเลยคับ..

ขอบคุณครับน้าป๋อง

เอามาต่ออีกหน่อยครับ  เอ.... ที่ผ่านๆมา อาตมาเทศ.. เอ้ย......  ผมพูดอะไรไปหว่า........  งง

บ่ายๆวันนั้น แม่เหม่ยหลิงก็พาพวกเรากลับโรงแรมเพื่อกลับมาทานข้าวเที่ยงกัน  ผมเองรู้สึกว่ายังไม่ค่อยหิวเพราะเพิ่งจะกินมื้อเช้าไปเอาเกือบๆเที่ยง  ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง จะให้กินอีกแล้ว  แถมเมื่อคืนที่นั่งรถไฟมาก็แทบจะไม่ได้หลับเอาซะเลย ก็ยิ่งทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว  แต่รู้สึกอยากนอนมากกว่า แต่ถ้าขืนขึ้นไปนอน มีหวังตื่นไม่ทันออกรอบแน่ๆ ก็เลยรีบกิน รีบออกมาหน้าโรงแรม มองหานกแถวๆนั้น แล้วก็ไม่ผิดหวังครับ

เจ้านกจาบคาเล็ก แต่ไม่แน่ใจว่าพันธุ์เดียวกับที่เมืองไทยไหม  


* IMG_3299.JPG (194.35 KB, 906x589 - ดู 178 ครั้ง.)

* IMG_3378.JPG (177.58 KB, 906x642 - ดู 178 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 07:57:44 PM โดย FRW » แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกใหม่
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #59 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 06:32:36 PM »

ส่วนเจ้าตัวนี้น่าจะเป็นนกโพระดก


* IMG_3340.JPG (184.34 KB, 906x593 - ดู 169 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป

หน้า: « 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 »   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 

กระโดดไป:  

T--shirt Motor CRC