FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #30 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 09:41:30 PM » |
|
เก็บบรรยากาศรอบๆก่อนโดดขึ้นรถ ครับ เห็นด้วยครับเค้ายกตำแหน่งให้ว่าเป็นประเทศที่สกปกที่สุดในโลก
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
e21rts
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #31 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 06:43:13 AM » |
|
อาบาละเฮ่...สวัสดีนะนายจ๋า.. ตอนแขกเป่าปี่..งูบนหัวนายออกมาร่ายรำด้วยหรือเปล่า...อิๆๆ อ้อ...แต่คงไม่นะ....เพราะว่างูนายไม่แรงเท่างูฝ่ายกิจกรรมพอร์ทเทตร..
|
++คติเตือนตน++คำว่า"คนดี"..คือคำที่มีไว้เรียกคนโง่ให้ฟังสวยหรูดูดีมีเกียรติ...เพื่อหลอกให้มันหลงภาคภูมิใจ...และตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องโง่ๆของมันต่อไป..
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #32 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 10:44:41 AM » |
|
ขอบคุณครับน้ายอด งูบนหัวผม ตอนอยู่ที่อินเดีย มันไม่กล้าโผล่หัวออกมาหรอกครับ มันกลัวแขก อิๆ
หลังจากขึ้นรถ น้องเหม่ยหลิงก็คว้าไมค์มาบอกว่า "นมัสการทุกท่าน ขณะนี้เราอยู่ในเมืองพุทธคยาแล้ว และจะพาไปทานข้าวเช้าที่โรงแรมที่พัก และเก็บของ ซึ่งโรงแรมก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นักและไม่ไกลจากสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า" เธอพูดจบก็แขวนไมค์ ไกด์คนนี้เธอพูดแค่นี้จริงๆครับ
คำว่า"มนัสการ" เป็นคำกล่าวทักทายของชาวอินเดีย มีความหมายว่า "สวัสดี" นั่นเอง จะคล้ายกับของเนปาลที่ใช้คำว่า "นมัสเต" แต่ที่อินเดีย จะใช้นมัสการเฉพาะผู้ที่สูงวัยกว่าเท่านั้น หากอายุน้อยกว่าก็จะเป็นนมัสเตเหมือนกัน
เราไปถึงโรงแรมที่พักและจัดของเข้าห้องพัก ผมพักห้องเดียวกับน้าอู๋
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #33 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 10:49:35 AM » |
|
ระหว่างที่เด็กรถกำลังขนกระเป๋าลงจากรถและส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของโรงแรม ผมเดินดูรอบๆบริเวณก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งนี้ครับ
ทีแรกสงสัยว่ามันคืออะไร แต่พอเห็นข้อความข้างบนก็ถึงบางอ้อ ถังสำหรับใช้ดับเพลิงเวลาที่เกิดไฟไหม้ เรียกว่า ชีวิตนักท่องเที่ยวและเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ฝากไว้กับเจ้าถังตักน้ำ 4-5 ใบนี้แหละครับ ฮ่าๆๆ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #34 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 11:05:42 AM » |
|
เหลียวมองอีกด้านเพราะได้ยินเสียงนกนานาชนิดส่งเสียงจ๊อกแจกจอแจ แล้วก็แอบย่องๆเข้าไปดูว่ามีนกอะไรบ้าง ไม่ได้เอาเลนส์ส่องนกมา มีแต่เจ้า 70-200 ที่ยืมเค้ามา ก็เลยต้องส่องมันด้วยเจ้านี่แหละครับ
ตัวนี้ไม่แน่ใจว่ามันจะอยู่ในตระกูล นกกระราง Langhingthrush หรือเปล่า แต่เสียงร้องใกล้เคียง และพฤติกรรมการหากินเป็นฝูงใกล้เคียง และคล้ายนกปรอด Bulbul แต่มีคนบอกว่ามันเป็นนกในตระกูล นกกินแมลง Bqbbler ขอวานผู้รู้ช่วยชี้แจงทีครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #35 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 11:07:11 AM » |
|
แต่เจ้าตัวนี้ นกเขาแน่ๆ อิๆ เอ...... ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นนกแขกมากกว่า หุๆๆ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
gumsaku
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #36 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 01:12:19 PM » |
|
ถังดับเพลิงแบบนี้สมัยก่อนต่างจังหวัดก็ใช้ อิอิ (ส่วนงู ท่านประธาน เป่ายังไงมันก็ไม่ขึ้น อิอิ ) ไม่มีโรตีขายหรือ กล้วยแขก หรอครับ อิอิ
|
|
|
|
|
นิดหน่อย
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #37 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:36:12 PM » |
|
ตกลงหน้าหมีไปเที่ยวหรือไปผจญเพลิงครับ ถังดับเพลิงอย่าว่าแต่ที่อินเดียมีเลยครับ ผมว่าเมืองไทยก็น่าจะมีน่ะแต่ยังหาไม่เจอแต่ที่แน่ตอนผมเป็นทหาร(เกณฑ์) ผมว่าผมก็เจออยู่น่ะ ![](http://spc2010.net/Smileys/default/gc_46.gif) ขอบคุณที่พาไปแสวงบุญด้วยครับแล้วจะรอชุดต่อไปครับ
|
...คำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย
เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย กับทุกประเทศ มีความคิด-อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ-มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข...
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #38 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 04:35:04 PM » |
|
หลังอาหารเช้าที่พวกเราหม่ำกันเอาเกือบเที่ยง น้องเหม่ยหลิงแกก็ต้อนพวกเราขึ้นรถไปชมพุทธคยา แดนตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขึ้นรถได้แกก็คว้าไมค์มาร่ายโศลกว่า
"เมืองไพสาลี เมืองโสเภณีเป็นอรหันต์ เมืองภูผาคิฌกูฏ เมืองบุตรพ่อหมอเทวดา เมืองม้าขื่นข่ม เมืองขนมขาชา "
อธิบาย ด้วยว่าเมืองพุทธคยานี้เดิมตั้งอยู่ในแคว้นไพสาลี เคยมีหญิงคณิกาได้สตับฟังธรรมขององพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรม ทำความเพียรจนเข้าสู่อรหันตมรรค อรหันตผลในที่สุด ที่เมืองนี้มีเขาชื่อคิฌกูฏ ในสัมยพุทธกาลมีหมอเทวดาที่ชื่อว่า หมอชีวก ที่ว่ามีม้าขื่นขมเพราะว่า กาลเวลาผ่านมา 2550กว่าปี ม้า ยังถูกใช้เป็นพาหนะประจำวันของชาวบ้าน และได้ค่าตอบแทนเพียงหญ้าแห้งๆเล็กน้อย ม้าจึงมีสภาพที่ผอมโซ ในเมืองนี้มีขนมอร่อยแบบขึ้นชื่อนั่นก็คือขนม คชา แต่คนไทยแอบเรียกให้เพี้ยนเป็นขาชา
เราขึ้นรถแล้วยังแทบไม่ได้หย่อนก้นลงนั่ง ไกด์ก็บอกเราว่า "ถึงแล้วค่ะ" แล้วก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรมากไปกว่านี้
ภาพรอบๆบริวณพุทธคยาครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
~$#MOSO_d60#฿~
สมาชิกใหม่
ออฟไลน์
เพศ: ![ชาย](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/Male.gif)
กระทู้: 0
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #39 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 04:44:10 PM » |
|
ชอบเครื่องมือดับเพลิงแบบมืออาชีพจัง
|
Thanks: ฝากรูปการแข่งขัน ทำให้เกิดการพัฒนา
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #40 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 04:54:55 PM » |
|
หลังจากไกด์ไปจ่ายค่าเข้าชมแล้วจึงนำเราเข้าไปยังเจดีย์พุทธคยา ผมจะพยายามเล่าเรื่องย่อๆของสถานที่และเรื่องที่เกี่ยวพันกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่าที่ตนเองพอจะทราบและที่ไปค้นคว้ามาเพิ่มเติมนะครับ แต่ผิด-ถูกอย่างไร ไม่ขอรับรองนะครับ
พุทธคยา เป็นบุญสถานและสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศอินเดีย แม้ว่าชุมชนจะไม่ใหญ่โต แต่พอถึงฤดูกาลไหว้พระซึ่งจะอยู่ระหว่างเดือน ตุลาคม-มีนาคม จะมีนักแสวงบุญจากทั่วโลกมาที่นี่ โดยเฉพาะชาวทิเบต ภูฏาน จะลงจากภูเขามาปักหลักไหว้พระ สวดมนต์ จุดไฟบูชา จนสว่างไสวราวกับที่นี่เป็นเมืองทิเบตก็ไม่ปาน
มีเรื่องเล่ากันว่า พุทธคยาถิ่นนี้เคยอุดมสมบูรณ์ งดงามด้วยป่าไม้ วิหก นกกา สัตว์ป่านานาพันธุ์ ธารน้ำไหลใสสะอาด บัดนี้เหลือเพียงรอยอักษรที่ใช้จารึกไว้เท่านั้น มีแต่คันนาในทุ่งกว้าง ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ผุกร่อนไปตามกาลเวลา ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นเมืองที่อยู่ของอสูรชื่อ "คยา" วันหนึ่งมีเหตุวิวาทกับเหล่าเทวดา เทวดาสู้ไม่ได้จึงไปฟ้องพระวิษณุ พระวิษณุจึงลงมาช่วยปราบอสูรตนนี้ เมื่อปราบแล้วก็สาปแช่งเอาไว้ว่า "เมืองของอสูรนี้ มีแม่น้ำก็ขอให้มีแต่ทราย มีหญิง-ชายก็ขออย่าให้มีคนงาม มีภูเขาก็ขออย่าให้มีต้นไม้ใหญ มีคนค้าขายก็ขอให้มีเพียง พออยู่พอกิน"
ภาพด้านหน้าทางเข้าพุทธคยาครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #41 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:07:12 PM » |
|
มหาเจดีย์โพธิคยา ประดิษฐานอยู่ทางทิศตะวันออกของต้นศรีมหาโพธิ์ มีแท่นวัชระอาสน์อยู่กลาง ลักษณะรูปทรงกรวยสี่เหลี่ยม สูงประมาณ 52 เมตร รอบฐาน 85 เมตร มีอาคารรองรับ 2 ชั้น มีเจดีย์บริวารทั้ง 4 ด้าน มีรอยการบูรณะกันมาตามยุคสมัย
บริเวณมหาโพธิ์วิหารกลายเป็นที่สำคัญที่สุด เพราะพระพุทธองค์เสด็จมาตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ที่นี้ และที่ตรงนี้เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนนับถืออยู่แล้ว เลยกลายว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกไป
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #42 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 06:07:35 PM » |
|
ดินแดนแห่งนี้เป็นบ่อเกิดแห่งแสงสว่างของโลก จึงเป็นที่หมายปองของผู้คนที่ต้องการผลประโยชน์ พระพุทธศาสนามีจิตใจกว้างขวาง เผื่อแผ่ มีปกติที่ไม่ชิงดีชิงเด่นกับใคร มีน้ำใจให้ทุกคนเสมอ ด้วยเหตุนี้ศาสนาพราหมณ์จึงขยับตัวเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ มีในจารึกของปลายราชวงศ์ปาละ (ศตวรรษที่ 10) เอาไว้ว่า มีการใช้กำลังบังคับเพื่อเปลี่ยนพุทธภูมิแห่งนี้ให้เป็นดินแดนพราหมณ์ โดยเอารูปพระศิวะพราหมเข้าไปประดิษฐานในวิหารมหาโพธิ์
มหาโพธิ์สังฆารามถูกสร้างขึ้น ตั้งอยู่อย่างสวยงาม และแล้วก็ผุพังไปตามกาลเวลา และพังเสียหายจากกระแสศรัทธาของคนแต่ละยุค จากน้ำมือพราหมณ์ ผ่านเข้ายุคมุสลิม มหาสังฆารามก็ถูกทอดทิ้งให้ตกอยู่ในสภาพของเมืองร้าง ถูกเผาผลาญทำลายราบเรียบและถูกทอดทิ้งให้กลายเป็นป่าดง มหาพุทธคยาแห่งนี้จึงหลุดมือชาวพุทธไปอย่าเด็ดขาดตั้งแต่ พ.ศ.2133 ตกอยู่ในการครอบครองของนักบวชมหันต์ ในนิกาย ทัสนามิสันยาสี โดยอ้างความชอบธรรมว่า เมื่อปี พ.ศ.1724 จักรพรรดิ์โมกุลชื่อ มูฮัมมัดชาห์ ได้พระราชทานที่แห่งนี้ให้แก่มหันต์ เขาจึงถือว่าเขาเป็นเจ้าของวิหารและบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธคยานี้ทั้งหมด
ต่อมาปี พ.ศ.2354 เจ้าแผ่นดินของพม่าส่งทูตมาขอบูรณะวิหารขึ้นใหม่ แต่พวกมหันต์ไม่ให้ความสนใจ จนกระทั่งสมัยพระเจ้ามินดง พ.ศ.2417 เจรจาผ่านรัฐบาลอินเดียซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษ ได้รับอนุญาตให้เข้าบูรณะได้แต่มีข้อแม้ว่าอย่าทำลายเทวรูปของศาสนาฮินดู และต้องให้เครื่องเงินและทองแก่พวกมหันต์เป็นจำนวนมาก รัฐบาลอังกฤษเกรงใจพวกมหันต์มาก จึงไม่เอาใจใส่ดูแลการบูรณะใดๆ ปล่อยให้ชาวบ้านเข้าขโมยข้าวของที่จะใช้ในการบูรณะไปเป็นอันมาก ชาวพุทธร้องเรียนอย่างไรก็ไม่มีผล
จนกระทั่งพ.ศ.2433 เซอร์ เอ็ดวิน อาร์โนลด์ ชาวอังกฤษผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนาเห็นว่าพุทธคยานี้ควรตกเป็นของชาวพุทธจึงจะชอบธรรม จึงทำหนังสือถึงรัฐบาลอังกฤษ ขอให้รัฐบาลยกพุทธคยาให้แก่ชาวพุทธ แต่ก็ยังไม่ได้ผล อีกปีต่อมา มีมนุษย์ใจสิงห์ชาวลังกาผู้หนึ่ง ทำการเรียกร้องให้ชาวพุทธทั่วโลกเข้าเจรจากับมหันต์อย่างเป็นทางการ และขอซื้อที่ดินส่วนหนึ่ง แต่พอเอาเข้าจริง มหันต์ก็ไม่ขาย แต่ชาวพุทธก็ส่งพระที่มีใจอาจหาญเข้าอยู่ที่พุทธคยา ขบวนการกู้พุทธคยาดำเนินต่อไปจนถึงปี พ.ศ. 2436 ท่านธรรมปาละพร้อมด้วยพันเอกโอลคอตต์และนายเอดซ์ นักเทววิทยาจากดาร์จีลิงเข้าไปที่พุทธคยาก็พบกับเหตุการณ์ร้ายแรงอันมิคาดมาก่อนคือ ภิกษุ 4 องค์ได้ถูกลูกศิษย์มหันต์ตีเกือบตาย และยังถูกชาวมหันต์ขู่ว่าจะฆ่าให้ตายทั้งหมด มีการกระทบกระทั่งกันมาอีกนับร้อยปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2467 ชาวพุทธทั่วโลกเข้าชื่อกันร้องเรียนถึงสภาคองเกรสส์ และตั้งกรรมาธิการขึ้นสอบสวน พร้อมกับเสนอหาทางปรองดองโดยตั้งกรรมการชาวพุทธ 5 คน ฮินดู 5 คน เป็นผู้ดูแลพุทธคยา
ต่อมาท่านมหาตมะคานธ๊เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ว่า "วิหารพุทธคยานี้ควรเป็นสมบัติของชาวพุทธโดยชอบธรรม ไม่มีอะไรต้องสงสัย" และท่าน รพินทรนาถ ฐากูร ก็เขียนว่า "บรรดาฮินดูผู้มีสัจจะต่อตนเองต้องยอมรับว่า ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ จะตกอยู่ในความดูแลของศาสนาอื่นไม่ได้ เพราะตนเองไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง และไม่มีเยื่อใยต่อศาสนาพุทธ" หลังจากนั้นมา ชาวมหันต์จึงยอมถอยห่างออกไป
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #43 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 07:33:31 PM » |
|
ภายในเจดีย์มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่สร้างด้วยหินแกรนิตสีดำอายุกว่า 1400 ปี องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ปิดทองอร่าม มีเครื่องตั้งบูชาตรงหน้าพระพุทธรูป เจ้าหน้าที่ทำไม้เป็นทรงสี่เหลี่ยมครอบเอาไว้ พระพุทธรูปนี้มีชื่อว่า พระพุทธเมตตา ทางเดินเข้าออก มีนักแสวงบุญ เข้า-ออก กันอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีโอกาสที่จะนั่งกราบไหว้นานๆหรอกครับ คนต่อแถวกันยาวเหยียด
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
Andaman
บุคคลทั่วไป
|
![](http://www.spc2010.net/Themes/ApolloBB/images/post/recycled.gif) |
« ตอบ #44 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 07:51:06 PM » |
|
ผมแวะเข้ามาดูทุกวันเลยครับ...
|
|
|
|
|
|