FRW
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 11:44:06 AM » |
|
นี่ก็หินอ่อนเช่นกัน แต่ปางอะไร ไม่ทราบครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 11:51:08 AM » |
|
ส่วนองค์นี้ น่าจะเป็น พระถังซำจั๋ง
ถึงแม้ว่า ชื่อพระถังซำจั๋ง จะเป็นชื่อตัวละครในนิยายก็จริง แต่พระถังซำจั๋ง กลับมีตัวตนอยู่จริงๆ ในยุคสมัยหนึ่ง ท่ายยังเคยจาริกแสวงบุญเข้าไปในชมพูทวีป และเข้าศึกษาพระธรรมอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ นาลันทา ในอินเดียอยู่หลายปี และเมื่อกลับสู่มาตุภูมิ ก็ได้นำเอาพระธรรมกลับไปเผยแผ่ที่บ้านเกิดเมืองนอน จนมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ จนกระทั่งภายหลัง นักเขียนนิยาย เอาชื่อของท่านไปใส่ไว้ในนิยายเรื่อง "ไซอิ๋ว"
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 11:58:21 AM » |
|
ภายในวิหารเซียน ก็จะมีรูปปั้นของ "ล่อฮั่น" หรือ พระอรหันต์จีน หรือ พระอรหันต์ฝ่ายมหายาน มากมายหลายองค์
หรือแม้กระทั่ง 18 อรหันต์ทองคำ ในวัดเสียวลิ้มยี่ ก็ปรากฎอยู่ที่นี่ด้วย
นอกจากนั้นก็มีเหล่าเซียน เหล่าเทพเจ้าอื่นๆอีกมากมาย รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง
ที่นี่มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน หากใครที่ชื่นชอบแนวๆนี้ คงต้องใช้เวลากันพอสมควร เรียกว่าคุ้มค่าราคาบัตร 50 บาท คนแก่ ไม่มียกเว้น
แต่นี่พวกเรามาเอาแทบจะแดดร่มลมตกแล้ว คงอยู่นานนักไม่ได้
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 12:00:20 PM » |
|
มองผ่านหน้าต่างวิหารเซียน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เราจะเห็นยอดเจดีย์พุทธคยาจำลองของวัดญาณสังวร
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 12:03:55 PM » |
|
และที่ชั้น 3 ของวิหารเซียน ก็จะเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า จึงมีภาพเขียนเรื่องราวต่างของพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่ทรงพระสุบิน ไปจนถึงเสด็จดับขันธ์ปริพนิพพาน
ภาพนี้ เป็นภาพที่พระองค์ทรงทรมานพระวรกายด้วยทุกข์ เพื่อให้ได้ซึ่งหนทางในการดับทุกข์
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 12:05:08 PM » |
|
วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งในครั้งนี้นางสุชาดามีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ นางจึงได้สั่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันจัดแจงหุงข้าว มธุปายาส คือ หุงข้าวด้วยนมโค ในตอนกลางคืนวันนั้น พระโพธิสัตว์ก็ได้ทรงมหาสุบินนิมิตร ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์ ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และต้นไม้ทั้งสิ้นมีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์ นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่สุชาดา นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดี และก็เพราะเหตุปัจจัยของพระองค์ท่านที่ในวันนี่จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่ง ด้วยเหตุปัจจัยนั้นจึงทำให้นางสุชาดาทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่. แต่แล้ว...บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไป พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ พระองค์ทรงแลดูนางสุชาดา กำหนดพระอาการ นางจึงได้ทูลว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความชอบใจเถิด" ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ถือเป็น ภัตตาหารมื้อแรก หรือ การถวายอันสำคัญ ก่อนที่พระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนางสุชาดาทูลลากลับไปแล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึงเสด็จจากร่มนิโครธพฤกษ์ ทรงถือถาดมธุปายาสนั้นเสด็จสู่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เมื่อสรงพระวรกายแล้วจึงประทับนั่งริมฝั่งแม่น้ำนั้น บ่ายพระพักตร์สู่ถิ่นบรูพา คือตะวันออก ทรงปั้นข้าวมธุปายาสเป็นปั้น ๆ ได้ ๔๙ ปั้น แล้วเสวยจนหมด ซึ่งถือเป็นอาหารทิพย์อันจะคุ้มได้ถึง ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน ในการเสวยวิมุตติสุขภายหลังการตรัสรู้
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 12:06:23 PM » |
|
เมื่อเหตุอย่างนั้นเกิด ผลอย่างนั้นก็เกิด เมื่อผลอย่างนั้นเกิด จึงส่งให้เหตุอย่างนี้เกิด เมื่อเหตุอย่างนี้เกิด ผลอย่างนี้ก็เกิด เมื่อผลอย่างนี้เกิด จึงส่งให้เหตุอย่างโน้นเกิด เมื่อเหตุอย่างโน้นเกิด ผลอย่างโน้นก็เกิด เหตุและผล ที่หมุนวนไม่รู้จบรู้สิ้น เป็นทุกข์ไม่รู้จบรู้สิ้นเช่นกัน หากจะให้จบ จึงต้องตัดที่ต้นตอ นั่นคือ ตัดที่ เหตุ
ปฎิจฺจสมุปฺปาทสงฺเขปกถา
อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > นาม-รูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรา-มรณะ > อวิชชา เหตุปัจจัยที่เกื้อหนุนกันให้เกิดผลต่างๆตามๆกันมาไม่มีที่สิ้นสุดเริ่มจาก -อวิชชา คือความไม่รู้แจ้งในสภาวะธรรมตามความเป็นจริง เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารขึ้น ได้แก่ บุญ-บาป -เพราะสังขาร บุญ-บาป เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณปฎิสนธิจิตขึ้น -เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิด นาม-รูป (รา่งกายและจิตที่ครบถ้วน) -เพราะนาม-รูปเป็นปัจจัยให้เกิดสฬายตนะขึ้น (อายตนะทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) -เพราะสฬายตนะ (อายตนะ) เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะขึ้น (การรับรู้ เช่น มองเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รับรส รู้ร้อน-หนาว จินตนาการ) -เพราะผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้น (คือการส่งผลให้รับรู้ เช่น หนาว - ร้อน - อ่อน - แข็ง - เค็ม - หวาน ฯลฯ) -เพราะเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้น (ความรู้สึกว่าชอบ หรือ ไม่ชอบ) -เพราะตัณหาเป็นปัจจัยอุปปาทาน 4 มีกามอุปปาทานเป็นต้น (จิตมีการปรุงแต่ง ชอบก็อยากให้มีอยู่นานๆ ไม่ชอบก็อยากให้ไปให้พ้น) -เพราะอุปปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพขึ้น -เพราะภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติขึ้น -เพราะชาติเป็นปัจจัยให้เกิด มรณะขึ้น (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) ซึ่งเป็นผลโดยตรง และมี โสกะ (ความเศร้าโศก) ปริเทวะ (ความรำพันร่ำไห้) ทุกข์ (ความยาก ลำบาก ทั้งกาย-ใจ)โทมนัส (ความลำบากใจ) อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นผลโดยอ้อม และสุดท้าย เมื่อมาถึงมรณะ ก็ยังยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็เป็นปัจจัยให้เกิด อวิชชาชึ้นอีก ก็จะหมุนวนไปไม่รู้จบรู้สิ้นอย่างนี้
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนว่า.... ให้ปิดหู ปิดตา พยายามอย่าไปรับรู้ให้มาก หรือถ้ารับรู้มาแล้ว ก็พยายามให้สักแต่ว่ารู้เฉยๆ อย่าไปปรุงแต่งว่าชอบหรือไม่ชอบ เช่น รู้ว่าอากาศร้อน ก็ให้รู้ว่าร้อนเฉยๆ อย่าให้เลยไปถึงว่า ไม่ชอบร้อน ไม่อยากให้ร้อนนั้นอยู่นานๆ ถ้ารู้สึกว่าหนาว ก็ให้รู้ว่าหนาว อย่าให้เลยไปถึงว่าไม่ชอบหนาว ไม่อยากให้หนาวนั้นอยู่นานๆ เป็นต้น เมื่อไม่เกิดอุปปาทานการปรุงแต่ง จิตย่อมบริสุทธิ ก็จะไม่มีปัจจัยให้เกิดภพขึ้น วงล้อธรรมนี้ก็จะขาดลง หมุนวนต่อไปไม่ได้อีก เอวัง
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: เมษายน 28, 2019, 12:08:56 PM » |
|
ออกจากวิหารเซียน เราก็มุ่งไปที่เขาชีจรรย์ ซึ่งก็อยู่ใกล้ๆแถวๆนั้น ไปไหว้พระ และถ่ายภาพกัน จากน้ันก็แยกย้ายกันกลับ บ้านใครบ้านมัน
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
e21rts
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2019, 12:35:53 PM » |
|
..เป็นทริปที่น่าสนใจครับ..และขอบคุณสำหรับข้อมูลศาสนาพุทธ..
|
++คติเตือนตน++คำว่า"คนดี"..คือคำที่มีไว้เรียกคนโง่ให้ฟังสวยหรูดูดีมีเกียรติ...เพื่อหลอกให้มันหลงภาคภูมิใจ...และตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องโง่ๆของมันต่อไป..
|
|
|
|
chit50
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2019, 05:13:59 AM » |
|
|
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2019, 11:40:21 AM » |
|
..เป็นทริปที่น่าสนใจครับ..และขอบคุณสำหรับข้อมูลศาสนาพุทธ..
มีข่าวที่น่าปวดหัวขึ้นที่นี่ คือ... หลังจากที่ผมไปและกลับมาไม่กี่วัน มีไกด์ นำนักท่องเที่ยวจีนเข้าไปเที่ยวที่นี่ และด้วยว่า ที่นี่ ยังมีนักท่องเที่ยวน้อย เจ้านักท่องเที่ยวจีนคนนั้นเลยถือโอกาส เด็ดดอกไม้น้ำติดมือขึ้นมา การท่องเที่ยวเลยสั่งยึดใบประกอบการไกด์ และสั่งปิดที่ไปแล้วครับ
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2019, 11:40:37 AM » |
|
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
FRW
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2019, 03:09:33 PM » |
|
อบต.แสมสาร ปิดอ่าว ไม่มีกำหนด หยุดนำนักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง หลังไกด์นำเที่ยวถ่ายคลิปเด็ดดอกไม้ทะเล จับปลานีโม่ #ปิดอ่าวแสมสาร #ดึงดอกไม้ทะเล #จับปลาการ์ตูน
|
ผู้มีบุญก็เข้ามา หมดวาสนาก็จากไป
|
|
|
|
|