กลับมาพบกันอีกแล้วนะครับ เป็นไงกันบางครับ ทดลองถ่ายภาพในโหมด Shutter speed แล้วหรือยังครับ หวังว่าคงสร้างสรรค์ภาพในแนวใหม่ๆได้กันมากขึ้นนะครับ สำหรับวันนี้เรามาพูดถึงอีกโหมดหนึ่งครับ นั้นก็คือโหมด A หรือ AV ครับ โหมดนี้เราจะเป็นผู้กำหนดขนาดของรูรับแสงเองครับ ส่วนกล้องจะคำนวณความเร็วชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ
เอาล่ะ……..รูรับแสงนั้นมีความสำคัญในการสร้างรูป และเทคนิคอย่างไร วันนี้เราจะมารู้กันครับ ถ้าใครมีกล้องอยู่ในมือลองดูครับว่ามีโหมดนี้ไหม ถ้ามีลองหมุนทดสอบกันเลยครับ อย่างแรกเราต้องเข้าใจกันก่อนนะครับ ว่าโหมดมีหน้าที่การทำงานอย่างไร โหมดนี้คือโหมดการควบคุมรูรับแสง ซึ่งรูรับแสงทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมปริมาณแสงผ่านเข้ามายังกล้องครับ จะมีให้เลือกคือปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามาได้น้อย กับปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามาได้มากครับ
ครับการควบคุมรูรับแสงแต่ละค่าเราเรียกว่าค่า “เอฟ นัมเบอร์ (f-number) หรือ เอฟสตอป (f-stop)” ครับ ค่า F ยิ่งมากปริมาณแสงที่ผ่านเข้าสู่ส่วนรับภาพ (CCD) ก็จะน้อยลงครับ ในทางกลับกันถ้าค่า F ยิ่งน้อยปริมาณแสงที่ผ่านเข้าสู่ (CCD) ก็จะมากขึ้น
การปรับค่ารูรับแสงจาก F-Stop หนึ่งไปยังอีก F-Stop หนึ่ง เช่น f/11 เป็น f/16 ก็จะลดปริมาณความเข้มของแสงที่ส่องบน CCD ไปครึ่งหนึ่งจากค่าเดิม หรือเมื่อเพิ่มจาก f/11 เป็น f/8 ปริมาณของแสงที่ส่องลงบน CCD ก็จะมากกว่าเดิมเป็น 2 เท่าของ F-Stop เดิม มีข้อให้จดจำนิดหนึ่งนะครับถ้ากล้องที่เป็น D-SLR จะเรียกการตั้งค่าว่า F-Stop แต่ถ้าเป็นกล้องคอมแพคหรือกล้อง D-SLR Like จะเรียกว่า Aperture Priority ซึ่งคำศัพท์ทั้ง 2 ตัวความหมายเดียวกันครับ<
ข้อสังเกตในการใช้งานของโหมดนี้อีกจุดหนึ่งครับ ในกรณีที่เราใช้กล้อง D-SLR ถ้ามีการซูมเลนส์เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่ารูรับแสงจะมีการเลือกที่ต่างกันครับ ถ้าไม่มีการซูมจะสามารถเลือกค่า F ได้ถึง 2.8 แต่ถ้ามีการซูมอาจจะเลือกค่า F ได้ต่ำสุดได้แค่ 3.5 ครับ เริ่มแรกลองสำรวจที่หน้าเลนส์ของกล้องดูก่อนก็ได้นะครับ จะเห็นตัวอักษรเขียนไว้คือ f 2.8-5.6 ครับ เลนส์แต่ละตัวมีความสามารถในเรื่องค่า F ที่ต่างกันครับ ขึ้นอยู่กับ Spec ของเลนส์แต่ละรุ่นครับ ยิ่งเลนส์ที่สามารถปรับค่า F ได้น้อยก็จะยิ่งมีราคาที่แพงขึ้นครับ โดยเฉพาะเลนส์ที่เมื่อเราปรับซูมแล้วแต่ยังคงค่า F ได้น้อยๆ ก็จะยิ่งแพงไปอีกครับ เช่น เลนส์ที่สามารถปรับค่า F 2.8 ตลอดช่วงของการซูม เป็นต้นครับ
เอาล่ะที่นี้เรามาทำความเข้าใจว่าเรื่องรูรับแสงว่าจะมีผลต่อการสร้างสรรค์ภาพอย่างไรบ้าง ในกรณีที่เราต้องการถ่ายภาพที่เน้นให้วัตถุที่เราสนใจนั้นชัด แต่ฉากหลัง (Background) นั้นเบลอๆ เรามักจะปรับค่า F ให้น้อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ตัวอย่างการถ่ายภาพแนวนี้ได้แก่ การถ่ายภาพบุคคลหรือนางแบบต่างๆ การถ่ายภาพดอกไม้ หรือแมลงครับ หรือในกล้อง Compact บางรุ่นที่ไม่สามารถปรับค่า F ได้เราก็สามารถทำภาพแนวนี้ได้โดยใช้โหมด Portrait หรือ Macro แทนครับ ถ้าสังเกตหน่อยจะเห็นได้ว่าภาพแนวนี้จะเป็นการถ่ายภาพในระยะใกล้ถึงระยะกลางๆ ครับ ในทางกลับกันถ้าเราต้องการให้ภาพที่ได้นั้นมีความคมชัดทั้งภาพบุคคลและวิวด้านหลัง เราก็ปรับไปที่ค่า F สูงๆแทนครับ เช่นเดียวกันในกรณีของกล้อง Compact ถ้าเราต้องการให้ได้ภาพชัดทั้งหมดง่ายที่สุดคือโหมด Auto ครับ
คงมีคำถามในใจต่อไปอีกว่าแล้วตอนไหนจะใช้ค่า F เท่าไรถึงจะดีล่ะ ถ้าให้ผมแนะนำตอนนี้ผมแนะนำอย่างง่ายว่าให้ลอง ถ่ายภาพดูครับแล้วภาพที่ได้แบบไหนเป็นแบบที่เราชอบก็จำว่าเราใช้ค่า F เท่าไร จากนั้นถ้าต้องมีการถ่ายในแนวเดิมอีกเราก็จะได้นึกออกครับ หรืออีกวิธีที่ผมมักทำบ่อยๆ คือการศึกษาจากรูปของ Professional ท่านต่างๆ ที่ลงใน Magazine ถ่ายภาพครับ ในนั้นจะมีบอกว่าแต่ละภาพนั้น Pro แต่ละท่านใช้กล้องรุ่นอะไร เลนส์รุ่นไหน มีการปรับค่า Shutter speed และ ค่ารูปรับแสง อย่างไรถึงจะได้ภาพออกมาอย่างที่เห็น
โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยเคร่งเครียดเกี่ยวกับรายละเอียดว่าต้องปรับค่าโน้นค่านี้ให้ได้แป๊ะๆ หรอกนะครับ เพราะวัตถุประสงค์หลักในการถ่ายภาพของผมนั้นเน้นที่ความสนุกในการถ่ายภาพ และการเก็บบรรยากาศที่เราชื่นชอบไว้เป็นภาพให้เราสามารถนำกลับมาดูใหม่ได้ แต่ถ้าใครต้องการเป็นมืออาชีพจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องศึกษาให้มากครับ
เอาล่ะ ที่นี้ทุกคนพอเข้าใจกันในระดับหนึ่งแล้วนะครับ ต่อไปเรามารู้กันว่าเจ้าโหมดนี้มีข้อดีในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างใดกันบ้างนะครับ จะแบ่งออกเป็นข้อๆ นะครับเพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นครับ
1.) ถ้าเจอปัญหาในที่มีแสงน้อย เราควรเลือกรูรับแสงกว้างไว้ครับ เพื่อให้แสงผ่านเข้ากล้องได้จำนวนที่มากๆ ภาพจะได้สว่างๆ มีลายละเอียดในภาพครบครับ แต่ถ้าเลือกรูรับแสงแคบๆภาพจะมืดครับเพราะแสงเข้ามาได้น้อยครับ
2.) ถ้าต้องการถ่ายภาพให้หน้าชัดหลังเบลออย่างมืออาชีพ ก็สามารถทำได้เหมือนกันครับโดยเปิดรูรับแสงกว้างๆ แล้วซูมให้มากหน่อยครับ ก็สามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ครับ แต่จะให้ดีควรเป็นที่ที่มีแสงเยอะหน่อยนะครับ
3.) ถ้าต้องการให้ภาพออกมาชัดทั้งภาพก็ควรเลือกรูรับแสงที่มีขนาดแคบๆ ครับ จะช่วยให้ภาพที่ถ่ายชัดถึงฉากหลังเลยครับ
4.) สำหรับการถ่ายรูปพลุ ก็ควรเลือกรูรับแสงแคบๆ เหมือนกันครับเพราะจะช่วยให้แสงผ่านเข้ากล้องได้น้อยจะทำภาพพลุที่ได้นั้นมีความคมชัดครับ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดค่า Shutter speed ให้นานควบคู่กันไปด้วยนะครับ
ผมคงต้องขออนุญาติท่านเจ้าของกระทู้นิดนะครับ และขอขอบพระคุณที่นำความรู้มาแบ่งปันกันเสมอมา แต่บางประเด็นอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือคลุมเคลือ ผมจึงต้องขอบังอาจกล่าวเพิ่มเติมนะครับ
เรื่องแรกเลย เรื่องของการถ่ายภาพมาโคร ส่วนใหญ่ การถ่ายภาพแนวนี้มักจะโฟกัสเข้าไปที่วัตถุที่จะถ่ายอย่างใกล้ๆด้วยเลนส์มาโครหรือท่อต่อหรือฟิลเตอร์มาโคร ซึ่งผลข้างเคียงของการถ่ายใกล้จะทำให้ความชัดลึกเหลือน้อยมากอยู่แล้วครับ ฉะนั้น การถ่ายภาพแนวนี้ หากผู้ถ่ายเปิดหน้ากล้องกว้างๆหรือค่า F น้อยๆ ก็จะทำให้ถ่ายภาพแล้วความชัดอาจไม่ครอบคลุมวัตถุทั้งหมด ทางแก้ไข จึงต้องปรับค่า F ให้แคบๆหรือมีค่าสูงๆครับ
เรื่องต่อมา คือโหมด A หรือ AV ครับ การใช้โหมดนี้ เป็นการเลือกหน้ากล้องจากผู้ใช้ แล้วกล้องจะทำการเลือกชัตเตอร์ให้สัมพันธ์กับแสง ณ.เวลานั้นๆ ฉะนั้น ไม่ว่าท่านจะปรับรูรับแสงที่เท่าไร กล้องก็จะให้แสงตกลงที่เซ็นเซ่อร์รับภาพพอดีเสมอคงที่เท่ากันตลอดครับ ไม่ได้ปรับค่า F มากแล้วแสงจะน้อยลงหรือปรับค่า F น้อยแล้วแสงจะลงมากขึ้นแต่อย่างใดครับ เพียงแต่ค่าความเร็วชัตเตอร์จะแตกต่างไปตามสภาพของแสง ณ.เวลานั้นๆและค่า F ที่เลือก ฉะนั้น เมื่อเราปรับค่ารูรับแสงที่มีค่ามากๆ ความเร็วชัตเตอร์จะตกลงมาก ซึ่งอาจมีผลกับการหยุดการเคลื่อนไหวของวัตถุที่จะถ่าย หรือ มีผลกับการถือกล้องให้นิ่งเวลาถ่ายครับ
เรื่องต่อมา ก็ขอเพิ่มเติมตามข้อที่ท่านคนบางปูให้มาแล้วนะครับ
1.) ถ้าเจอปัญหาในที่มีแสงน้อย เราควรเลือกรูรับแสงกว้างไว้ครับ เพื่อให้แสงผ่านเข้ากล้องได้จำนวนที่มากๆ ภาพจะได้สว่างๆ มีลายละเอียดในภาพครบครับ แต่ถ้าเลือกรูรับแสงแคบๆภาพจะมืดครับเพราะแสงเข้ามาได้น้อยครับ ถ้าเราพูดกันถึงเรื่องของการใช้โหมด A หรือ AV ไม่ว่าท่านจะเลือกหน้ากล้องที่กว้างหรือแคบ ภาพที่ได้ แสงจะเท่ากันหมดครับ เพียงแต่หากแสงน้อยแล้วเลือกค่า F สูงๆ จะทำให้ชัตเตอร์ช้าจนภาพอาจสั่นไหวได้ครับ
2.) ถ้าต้องการถ่ายภาพให้หน้าชัดหลังเบลออย่างมืออาชีพ ก็สามารถทำได้เหมือนกันครับโดยเปิดรูรับแสงกว้างๆ แล้วซูมให้มากหน่อยครับ ก็สามารถทำหน้าชัดหลังเบลอได้ครับ แต่จะให้ดีควรเป็นที่ที่มีแสงเยอะหน่อยนะครับ การที่เราเปิดหน้ากล้องกว้างๆ ก็จะทำให้แสงเข้ากล้องมากโดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ และบางครั้งที่เราอยู่กลางแจ้ง การเปิดหน้ากล้องกว้างๆอาจทำให้แสงมีมากเกินควรด้วยซ้ำไปครับ
3.) ถ้าต้องการให้ภาพออกมาชัดทั้งภาพก็ควรเลือกรูรับแสงที่มีขนาดแคบๆ ครับ จะช่วยให้ภาพที่ถ่ายชัดถึงฉากหลังเลยครับ ในข้อนี้แหละครับ ที่จำเป็นต้องทำในที่ที่มีแสงมากพอสมควรครับ เพราะการเปิดหน้ากล้องแคบ จะทำให้แสงที่ผ่านเลนส์เหลือน้อยลง กล้องจะปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำลงตาม อาจมีผลจนภาพสั่นไหวได้ จึงควรเลือกใช้ในที่แสงมากครับ
4.) สำหรับการถ่ายรูปพลุ ก็ควรเลือกรูรับแสงแคบๆ เหมือนกันครับเพราะจะช่วยให้แสงผ่านเข้ากล้องได้น้อยจะทำภาพพลุที่ได้นั้นมีความคมชัดครับ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดค่า Shutter speed ให้นานควบคู่กันไปด้วยนะครับ การถ่ายภาพพลุ ไม่ควรใช้โหมด A หรือ AV ครับ และที่ท่านคนบางปูกล่าวถึงก็เป็นการใช้ในโหมด M ครับ และส่วนใหญ่ของการถ่ายภาพพลุ การใช้ค่า F เท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสองเรื่องใหญ่ๆครับ คือ หนึ่งแสงของพลุที่จุด มาก-น้อยต่างกันแต่ล่ะค่ายไม่เท่ากัน สองระยะทางจากกล้องถึงพลุ เพราะยิ่งท่านอยู่ไกลมาก แสงจะเดินทางมาถึงน้อยลง แต่โดยส่วนใหญ่ ผมจะใช้ค่า F อยู่ที่ราว 11,16 เป็นส่วนใหญ่ครับ ชัตเตอร์ก็ราวๆ 7-20 วินาที ขึ้นอยู่กับว่า การจุดพลุนั้นรัวถี่แค่ไหนครับ